DRT ยันตรึงราคา หันปรับแผนบริหารการผลิตรับต้นทุนค่าแรง-พลังงานพุ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 19, 2012 11:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาด บมจ. ผลิตภัณฑ์ตราเพชร(DRT)เปิดเผยว่า แนวโน้มต้นทุนการผลิตสินค้าในกลุ่มวัสดุก่อสร้างทุกประเภทมีสัญญาณการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้รับปัจจัยกดดันจากภาวะต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบด้านปูนซีเมนต์ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น และการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายนนี้ มีผลทำให้ค่าแรงขั้นต่ำในจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานของบริษัทฯ ต้องปรับเพิ่มเป็น 269 บาทต่อวัน จากเดิมที่มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 193 บาทต่อวัน

ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้เตรียมแผนรับมือด้านบริหารการจัดการ เพื่อลดผลกระทบจากภาวะต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้หันมาลงทุนติดตั้งท่อแก๊สเพื่อนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ในกระบวนการผลิตทดแทนการใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งมีผลช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานให้ลดลงเหลือ 2-3% และสามารถควบคุมโครงสร้างต้นทุนพลังงานและไฟฟ้าอยู่ไม่เกิน 5% ของรายได้รวม โดยรวม

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนสั่งซื้อพลังงานไอน้ำและกระแสไฟฟ้าจากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าภาคเอกชนที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับโรงงานที่จังหวัดสระบุรี ที่คาดแล้วเสร็จในปี 2556 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าในอนาคตได้ถึง 8% และลดปัญหาความไม่เสถียร อันเกิดจากการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลา Peak Load ได้อีกด้วย

ขณะที่ต้นทุนปูนซีเมนต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 14% ของรายได้รวม ถือเป็นต้นทุนการผลิตหลักของผลิตภัณฑ์ตราเพชรที่มีการขยับราคามาอย่างต่อเนื่อง หลังมีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนดังกล่าว บริษัทฯ จึงได้จัดหาแหล่งวัตถุดิบด้านปูนซีเมนต์ในราคาต้นทุนต่ำที่สุดจากแหล่งผลิตที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับโรงงาน เพื่อบริหารความเสี่ยงจากต้นทุนปูนซีเมนต์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ส่วนต้นทุนด้านค่าแรงขั้นต่ำของแรงงานที่ภาครัฐมีนโยบายบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายนนี้นั้น บริษัทฯ เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบในส่วนนี้มากนัก เนื่องจากภาครัฐได้ประกาศปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลธรรมดา เหลือ 23% เพื่อช่วยลดผลกระทบให้แก่ผู้ประกอบการในส่วนนี้ไว้แล้ว

“เราต้องเตรียมแผนบริหารจัดการด้านต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรองรับแนวโน้มต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบและค่าแรงขั้นต่ำที่อยู่ในภาวะขาขึ้น ซึ่งจากแผนดำเนินงานของเราในครั้งนี้ จึงมั่นใจว่าจะสามารถแบกรับกับภาวะต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปรับราคาสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในยุคที่ภาวะค่าครองชีพปรับตัวเพิ่มขึ้น" นายสาธิต กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังบริหารจัดการด้านกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหลังจากที่บริษัทฯ เริ่มเดินเครื่องผลิตสินค้ากลุ่มไฟเบอร์ซีเมนต์ในสายการผลิต NT10 ในช่วงกลางปีนี้ ทำให้สามารถแยกส่วนสายการผลิตสินค้าในกลุ่มไฟเบอร์ซีเมนต์ชนิดบางกับชนิดความหนาออกจากกัน ส่งผลให้เครื่องจักรสามารถเดินการผลิตสินค้าได้อย่างต่อเนื่องและมีปริมาณสินค้ามากขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อชิ้นต่ำลงและสร้างโอกาสทางการขายสินค้าเพิ่มขึ้นได้อีกทางหนึ่งด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ