บมจ.จีสตีล (GSTEEL) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนบริษัท จำนวน 12,770,032,300 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จากเดิมทุนจดทะเบียน 29,798,589,773 บาท เป็น 17,028,557,473 บาทโดยการตัดหุ้นที่ยังมิได้ออกจำหน่ายของบริษัท
และให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจากจำนวน 17,028,557,473 บาท เป็นไม่เกิน 48,004,743,297 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท จำนวนไม่เกิน 30,976,185,824 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
จัดสรรให้แก่เจ้าหนี้ของบริษัทตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน จำนวนไม่เกิน 9,000 ล้านหุ้น ในราคาจองซื้อ 0.50-0.60 บาท /หุ้น, จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท จีเอส โน๊ตส์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และ/หรือบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นอยู่ร้อยละ 99 จำนวนไม่เกิน 4,800 ล้านหุ้น ราคาจองซื้อหุ้นละ 0.50-0.60 บาท
นอกจากนี้ จัดสรรให้แก่ที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัทเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการให้คำปรึกษาการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวนไม่เกิน 1,200 หุ้น ราคาจองซื้อหุ้นละ 0.50-0.60 บาท ,จัดสรรเพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิฯที่จัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด ซึ่งได้แก่กลุ่มลงทุนที่ตกลงเข้ามาลงทุนหรือให้เงินกู้แก่บริษัทไม่จำนวนเงินโดยรวมไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งจัดสรรไม่เกิน 10,300 ล้านหุ้น ในราคาขาย 0.43 บาท ส่วนที่เหลือยังไม่สามารถกำหนดได้
การเพิ่มทุนดังกล่าวเพื่อรองรับโครงการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทและบริษัทในกลุ่ม และ รองรับกลุ่มนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนหรือให้กู้ยืมแก่บริษัทในอนาคต
คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิฯ จำนวน 5,676,185,824 หน่วย เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทในสัดส่วนการถือหุ้น ในอัตราส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วย ในราคา 0.002 บาทต่อหน่วย โดยราคาการใช้สิทธิอยู่ที่ 0.55 บาทต่อหุ้น โดยราคาการใช้สิทธิดังกล่าวเป็นราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้ของบริษัท
รวมทั้งให้บริษัทออกใบสำคัญแสดงสิทธิฯ จำนวนไม่เกิน 10,300 ล้านหน่วย เพื่อจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด ซึ่งได้แก่กล่มผู้ลงทุนที่ตกลงเข้ามาลงทุนหรือให้เงินกู้แก่บริษัทเป็นจำนวนเงินโดยรวมไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท โดยไม่คิดมูลค่า ราคาการใช้สิทธิอยู่ที่ 0.43 บาทต่อหุ้น
นอกจากนี้ จะเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณายกเลิกมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2554 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2554 ในวาระที่เกี่ยวข้องกับการเข้าทำธุรกรรมกับ ArcelorMittal Netherlands B.V. (AM) เนื่องจากการเลิกสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่างบริษัท และ AM
และพิจารณารับทราบการเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหรือสัญญาประนอมหนี้ซึ่งหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ทางการค้าที่เกิดจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2551 กับเจ้าหนี้ของบริษัทและบริษัทในกลุ่มและการนำและรับทราบอนุมัติให้บริษัทจีเอส โน๊ตส์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ("จี เอส โน๊ตส์ โฮลดิ้งส์") และ/หรือจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นใหม่ (เป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียน) เพื่อรับซื้อหุ้นกู้ของบริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) ("GJS") ในจำนวนไม่เกิน 3,000,000,000 บาทจากเจ้าหนี้ของ GJS
ทั้งนี้ กำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 ในวันที่ 30 เม.ย. 55 เวลา 14.00 น.
*แปลงหนี้เป็นทุน
บริษัทเปิดเผยเกี่ยวกับแนวทางโครงการแปลงหนี้เป็นทุนของบริษัทว่า เมื่อสิ้นปี 54 บริษัทและบริษัทในกล่มมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 29,416 ล้านบาท บริษัทและบริษัทในกลุ่มมีความจำเป็นจะต้องปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้หนี้สินลดลงให้อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และเป็นที่ยอมรับของผู้ลงทุนกลุ่มใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนในบริษัท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมั่นคงและมีฐานะการเงินที่ดีขึ้น
รูปแบบของการปรับโครงสร้างหนี้ ประกอบด้วย การขอลดยอดหนี้ค้างชำระ และการยืดระยะการชำระคืนหนี้ และการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งได้มีการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท จำนวนไม่เกิน 9 พันล้านหุ้น ให้แก่เจ้าหนี้ของบริษัทตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน ในราคาหุ้นละ 0.50-0.60 บาท
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทและบริษัทในกลุ่มจะทำให้หนี้สินลดลง รวมทั้งคาดว่าจะมีกำไรจากการลดหนี้ค้างชำระ (Haircut) ซึ่งจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น นอกจากนี้ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มผู้ลงทุนในการเข้ามาลงทุนในบริษัททำให้การระดมทุนจากกลุ่มผู้ลงทุนเป็นไปได้โดยสะวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น และหากมีเม็ดเงินเข้ามาในบริษัทจะทำให้บริษัท สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่ทำให้สถานภาพทางการเงินเข้มแข็งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทในระยะยาว
เจ้าหนี้ที่มีจำนวนหนี้สูงสุด 10 อันดับแรก ณ วันที่ 31 ธ.ค. 54 ได้แก่ 1.Cargill International Trading Pte.Ltd จำนวนหนี้ 3,062 ล้านบาท 2. Mahachai Steel Center Co.,Ltd. จำนวนหนี้ 2,644 ล้านบาท 3. Stena Metal Limited จำนวนหนี้ 2,615 ล้านบาท 4. Prime Carbon GMBH จำนวนหนี้ 1,595 ล้านบาท 5. หุ้นกู้ จำนวน 1,228 ล้านบาท 6. Duferco Asia Pte.Ltd จำนวนหนี้ 682 ล้านบาท 7. Siam Power Generation Plc. จำนวนหนี้ 653 ล้านบาท 8. เจ้าหนี้ศาลฟื้นฟู จำนวนหนี้ 534 ล้านบาท 9. Rich Asia Steel Plc. จำนวนหนี้ 322 ล้านบาท และ 10. Standard Chartered Bank (Thai) จำนวน 198 ล้านบาท