ทริสฯให้เครดิตหุ้นกู้-คงเครดิตองค์กร THAI ที่ A+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 23, 2012 15:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่มูลค่า 1,500 ล้านบาท (THAI243A) ของ บมจ.การบินไทย (THAI) ที่ระดับ “A+" ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A+" เช่นกันด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “ที่คง"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจการบินระหว่างประเทศในเส้นทางที่บินเข้าและออกจากประเทศไทยและการได้รับประโยชน์จากการเป็นสมาชิก Star Alliance ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรสายการบินที่ใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการมีภาระหนี้ที่ค่อนข้างสูงและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผันผวน รวมถึงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กระทบต่อธุรกิจสายการบิน เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความไม่สงบทางการเมือง รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงทั้งจากสายการบินทั่วไปและสายการบินต้นทุนต่ำที่จะกดดันอัตรารายได้ต่อผู้โดยสาร-กิโลเมตรอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลาง

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทการบินไทยจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจการบินระหว่างประเทศที่มีประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้นเอาไว้ได้ โดยอันดับเครดิตยังอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงได้รับประโยชน์จากการมีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต่อไป ดังนั้น การแปรรูปกิจการของบริษัทอาจส่งผลให้อันดับเครดิตของบริษัทถูกปรับลดลงได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ความสามารถในการทำกำไรโดยการลดค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานและด้านเชื้อเพลิงจะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาคุณภาพอันดับเครดิตของบริษัทเอาไว้โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทต้องมีการลงทุนอย่างมาก ทริสเรทติ้งรายงานว่า อันดับเครดิตดังกล่าวของ THAI ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท ซึ่งสะท้อนถึงการสนับสนุนจากภาครัฐในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจและสายการบินแห่งชาติ ดังนั้น อันดับเครดิตจะได้รับการปรับลดลงหากรัฐบาลลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือต่ำกว่า 50% ปัจจุบันกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 51% นอกจากนี้ ยังมีธนาคารออมสินซึ่งเป็นธนาคารของรัฐบาลไทยเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 2.4% ด้วย ในขณะที่หุ้นของบริษัทในสัดส่วน 15.1% ที่ถือโดยกองทุนวายุภักษ์นั้นจัดเป็นการถือหุ้นโดยผู้ลงทุนภาคเอกชนแม้กองทุนวายุภักษ์จะได้รับการจัดตั้งโดยกระทรวงการคลังเพื่อลงทุนในรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม

ปัจจุบัน THAI เป็นหนึ่งในสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเซีย โดย ณ เดือนมีนาคม 2555 บริษัทให้บริการเส้นทางการบินระหว่างประเทศ ณ สนามบินปลายทาง 59 แห่งทั่วโลก ด้วยเที่ยวบินจำนวน 563 เที่ยวต่อสัปดาห์ บริษัทมีปริมาณที่นั่งในปี 2555 เพิ่มขึ้น 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากบริษัทเพิ่มเครื่องบินใหม่อีกจำนวน 9 ลำ บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในเส้นทางการบินระหว่างประเทศ โดยในปี 2554 มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 38.9% ของจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ใช้บริการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติต่าง ๆ ของไทย สำหรับการบินภายในประเทศนั้น ปริมาณการจราจรทางอากาศโดยรวมของบริษัทการบินไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่สายการบินต้นทุนต่ำเริ่มให้บริการในปี 2546 ทำให้จำนวนผู้โดยสารทั้งระบบเพิ่มขึ้นจาก 7.2 ล้านคนในปี 2546 มาอยู่ที่ 14.3 ล้านคนในปี 2554 กระนั้นส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทก็ลดลงจาก 85% ในปี 2546 เหลือ 37% ในปี 2554 ธุรกิจการบินภายในประเทศสร้างรายได้ให้แก่บริษัทเพียง 11% ของรายได้รวม การมีต้นทุนดำเนินงานที่ค่อนข้างสูงกว่าสายการบินต้นทุนต่ำทำให้บริษัทต้องกำหนดกลยุทธ์ที่จะเพิ่มกำไรโดยการลดจำนวนเที่ยวบินภายในประเทศที่มีผลประกอบการขาดทุนและเปิดโอกาสให้สายการบินราคาประหยัดที่เป็นพันธมิตรของบริษัทคือ “นกแอร์" เป็นผู้ให้บริการแทน

นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ขึ้นมาเพื่อให้บริการสายการบินคุณภาพสูงระดับราคาปานกลางภายใต้ชื่อ “ไทยสไมล์" ซึ่งเน้นให้บริการแก่กลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลาง โดยไทยสไมล์จะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแข่งขันของบริษัทเพื่อเพิ่มสัดส่วนทางการตลาดจากสายการบินต้นทุนต่ำอื่น ๆ ทั้งในเส้นทางการบินภายในประเทศและในภูมิภาคเอเชีย ในปี 2554 บริษัทมีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารลดลงสู่ระดับ 70.4% จาก 73.6% ในปี 2553 นอกจากนี้ อัตราส่วนการขนส่งพัสดุภัณฑ์ก็ลดลงจากระดับ 69.4% ในปี 2553 สู่ระดับ 65.4% ในปี 2554 ในปี 2554 ผลการดำเนินงานของ THAI ปรับตัวลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากและเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี 2554 นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงยังมีผลจำกัดการปรับเพิ่มค่าชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทลดลงจาก 16.7% ในปี 2553 เป็น 9.7% ในปี 2554 หากอัตราการทำกำไรยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต

ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับตัวลดลงจาก 6.2 เท่าในปี 2553 เป็น 3.6 เท่าในปี 2554 และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมก็ปรับตัวลดลงจาก 19.1% ในปี 2553 เป็น 10.9% ในปี 2554 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 66.1% ในปี 2553 สู่ระดับ 69.5% ในปี 2554

ในขณะที่ภาระหนี้ของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นและคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะปานกลางเนื่องจากบริษัทมีภาระการลงทุนค่อนข้างสูงอันเกิดจากการจัดหาเครื่องบินใหม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทจะได้ประโยชน์จากการจัดหาเครื่องบินใหม่ในแง่ประสิทธิภาพการบินที่เพิ่มขึ้น ปริมาณการใช้น้ำมันที่ต่ำลง และค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่ลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ