นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของเครือโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล (VIH) เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ในวันที่ 30 เมษายน และ 2 พฤษภาคม 2555 ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี โดยได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเข้ามามากกว่าจำนวนหุ้นที่นำออกจำหน่ายอย่างมาก ทำให้มีผู้พลาดหวังจากการจองซื้อจำนวนมาก
“การที่นักลงทุนให้ความสนใจหุ้นของเครือโรงพยาบาลวิชัยเวชฯ อย่างมาก มาจากความมั่นใจในอนาคต โอกาสและศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลอยู่ในความสนใจของนักลงทุน และยิ่งเมื่อได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นเมดิคอล ฮับ ของเอเชีย ทำให้ธุรกิจมีโอกาสขยายตัวมากยิ่งขึ้น ขณะที่เครือโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ก็มีจุดแข็งและศักยภาพการเติบโตที่น่าสนใจ จึงได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี" นายมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ นักลงทุนที่พลาดหวังจากการจองซื้อ ได้แสดงความสนใจจะเข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันซื้อขายหุ้นวันแรกของ VIH ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 9 พฤษภาคม 2555 นี้
เครือโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ดำเนินกิจการภายใต้ชื่อ บมจ. ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 535 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 535 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้วก่อน IPO จำนวน 400 ล้านบาท และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ 135 ล้านหุ้น โดยกำหนดราคาขายหุ้นละ 1.25 บาท
ด้าน ผศ.พญ.สายสุณี วนดุรงค์วรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือโรงพยาบาลวิชัยเวชฯ กล่าวว่า การระดมทุนจากหุ้น IPO ครั้งนี้ จะนำมาใช้ในการขยายธุรกิจเพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการให้มีมาตรฐานระดับสากลและมีความครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยเครือโรงพยาบาลวิชัยเวชฯ มีแผนจะจัดทำโครงการคลินิกการกีฬา ทั้งในส่วนของคลินิกเวชศาสตร์การกีฬา เพื่อให้บริการทางการแพทย์แบบครบวงจรที่เชื่อมโยงทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันการบาดเจ็บ และการรักษาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้น และคลินิกวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งจะนำวิทยาศาสตร์การกีฬามาประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพนักกีฬาแต่ละประเภท ตลอดจนการดูแลสุขภาพ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ของนักกีฬาและบุคคลทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีโครงการศูนย์การแพทย์แบบองค์รวม เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางความรู้ในการประยุกต์วิชาการแพทย์แผนตะวันออก มาใช้ในการรักษาพยาบาลร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบันอีกด้วย
บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายขยายฐานลูกค้าออกไปมากขึ้น เป็นการตอบรับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในเอเชีย และสอดรับกับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างประเทศจะเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต