บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงิน 500 ล้านบาท (MBK227A) ของ บมจ.เอ็ม บี เค (MBK) ที่ระดับ “A" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A" เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้และลงทุนเพิ่ม
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงการมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มธนชาต รวมถึงความยืดหยุ่นด้านการเงินจากการลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากการมีต้นทุนการดำเนินงานที่จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อสัญญาเช่าที่ดินและทรัพย์สินของศูนย์การค้าฉบับใหม่เริ่มมีผลในทางปฏิบัติในปี 2556
ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก และคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับคุณภาพสินเชื่อรถจักรยานยนต์เอาไว้ในระดับที่ดีจากการมีขั้นตอนการพิจารณาสินเชื่อและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่เข้มงวด ทั้งนี้ จากแผนรายจ่ายฝ่ายทุนที่อยู่ในระดับปานกลางในปี 2555-2556 ทำให้คาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในระดับปัจจุบันเอาไว้ได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า MBK ก่อตั้งในปี 2517 ปัจจุบัน บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) และบริษัทในเครือเป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทในสัดส่วนรวม 20% บริษัทดำเนินธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า โรงแรม สนามกอล์ฟ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ธุรกิจข้าว และธุรกิจการเงิน โดยเป็นเจ้าของและบริหารจัดการศูนย์การค้า “เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์" ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่บนที่ดินเช่าติดกับย่านสยามสแควร์ในใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะมีธุรกิจที่หลากหลาย แต่ผลประกอบการของบริษัทยังคงขึ้นอยู่กับสินทรัพย์หลักอันได้แก่ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และ “โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส" ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยในไตรมาสแรกของปี 2555 สินทรัพย์ดังกล่าวสร้างรายได้ประมาณ 33% และสร้างกระแสเงินสดประมาณ 57% ให้แก่บริษัท
เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของรายได้ MBK จึงขยายการลงทุนในธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนการลงทุน 31% ใน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและบริหารศูนย์การค้าในย่านสยามสแควร์ บริษัทสยามพิวรรธน์เป็นผู้ถือหุ้น 100% ในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ (19,000 ตารางเมตร (ตร.ม.)) และศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ (23,200 ตร.ม.) และถือหุ้น 50% ในศูนย์การค้าสยามพารากอน (186,010 ตร.ม.)
นอกจากนี้ บริษัทยังมีบริษัทร่วมทุนกับบริษัทสยามพิวรรธน์ (สัดส่วน 50:50) ซึ่งได้ทำการปรับปรุงตกแต่งพื้นที่และเปิดให้บริการพื้นที่ให้เช่าใน “ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค" (เดิมชื่อ “ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์") ขนาด 90,177 ตร.ม. อย่างเต็มรูปแบบในเดือนกรกฎาคม 2553 และในเดือนสิงหาคม 2554 บริษัทได้เปิด “เดอะ ไนน์" ซึ่งเป็นศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) แห่งแรกของบริษัทซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 โดยมีพื้นที่ค้าปลีก 12,873 ตร.ม. และมีพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 8,979 ตร.ม. ด้วย ณ เดือนมีนาคม 2555 บริษัทบริหารพื้นที่ค้าปลีกรวม 205,251 ตร.ม. และพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 57,895 ตร.ม.
สำหรับธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันบริษัทเอ็ม บี เคเป็นเจ้าของและให้บริการโรงแรม 6 แห่งในจังหวัดท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย โดยมีจำนวนห้องพักรวม 972 ห้อง จากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อัตราการเข้าพักโรงแรมเฉลี่ยของบริษัทอยู่ในระดับสูงที่ 73% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 ในขณะที่อัตราค่าห้องพักเพิ่มขึ้น 3% สู่ระดับ 3,168 บาทต่อห้องในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 ดังนั้นอัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ของบริษัท (Revenue Per Available Room - RevPAR) โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 2,214 บาทต่อห้องในไตรมาสแรกของปี 2554 เป็น 2,301 บาทต่อห้อง ในไตรมาสแรกของปี 2555
นอกจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่แล้ว ในปี 2553 บริษัทเอ็ม บี เคยังซื้อกิจการของ บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ โดย ณ เดือนมีนาคม 2555 บริษัทที ลีสซิ่ง มียอดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์คงค้าง 1,043 ล้านบาท จากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี 2554 อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 6.5% ณ เดือนมีนาคม 2555 จาก 4.2% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อพร้อมกับการขยายขนาดสินเชื่อนับเป็นความท้าทายของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างที่มีอสังหาริมทรัพย์ค้ำประกัน 2,490 ล้านบาท และมีอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ที่ 41%
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2554/2555 (กรกฎาคม 2554—มีนาคม 2555) บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 5,871 ล้านบาท อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 30.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2553/2554 เป็น 33.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2554/2555 โดยอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากการปรับปรุงธุรกิจโรงแรมและพื้นที่ให้เช่า
ตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 เป็นต้นไป บริษัทจะต้องจ่ายค่าเช่าประจำปีของศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ เพิ่มขึ้นจาก 85 ล้านบาทต่อปีเป็น 695 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรของบริษัทจะลดลงหากบริษัทไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้เช่าได้ โดยบริษัทมีแผนจะเพิ่มค่าเช่าเพื่อชดเชยกับภาระค่าเช่าที่ดินที่สูงขึ้นซึ่งจะช่วยปรับปรุงอัตรากำไรให้ดีขึ้น
เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับ 2,085 ล้านบาทในปีบัญชี 2553/2554 และอยู่ที่ระดับ 1,546 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2554/2555 เงินกู้รวมของบริษัทลดลงจาก 9,207 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 เหลือ 7,351 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 เนื่องจากการชำระคืนเงินกู้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 22.7% ในปีบัญชี 2553/2554 และ 21.0% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2554/2555 (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี)
ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจากระดับ 42.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 เป็น 33.6% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 สภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 บริษัทมีเงินสดจำนวน 881 ล้านบาท ในขณะที่เงินลงทุนมีมูลค่า 5,204 ล้านบาท