ทริสฯให้เครดิตหุ้นกู้-คงเครดิตองค์กร QH ที่ "A-" แนวโน้ม "Negative"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 14, 2012 17:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของ บมจ. ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) ที่ระดับ “A-" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A-" เช่นเดียวกัน โดยแนวโน้มยัง “Negative" หรือ “ลบ" บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระคืนหนี้ระยะสั้นบางส่วนและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูง และรายได้ที่สม่ำเสมอจากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง รวมถึงแรงกดดันจากราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น และภาระหนี้ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะปานกลาง

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนฐานะการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงจากผลกระทบของวิกฤตอุทกภัย ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเปลี่ยนเป็น “Stable" หรือ “คงที่" หากบริษัทสามารถลดอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้ต่ำกว่า 55% หรือรักษายอดขายที่ยังไม่ได้ส่งมอบให้อยู่ในระดับที่สามารถลดความเสี่ยงจากภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะสูงกว่า 55% เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องโดยไม่มีกระแสเงินสดในระดับที่เหมาะสมรองรับ

ทริสเรทติ้งรายงานว่า QH เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูง บริษัทก่อตั้งในปี 2526 โดย บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(LH) กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2555 ประกอบด้วย LH (25%) และ The Government of Singapore Investment Corporation Pte. Ltd. (11%) บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคาหลังละ 5 ล้านบาทขึ้นไป นอกจากนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทยังมีผลการดำเนินงานในระดับที่ยอมรับได้โดยการพัฒนาสินค้าที่อยู่อาศัยที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดกลุ่มราคาระดับล่าง

ที่อยู่อาศัยเหลือขายในบริเวณที่เกิดอุทกภัย รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังอุทกภัยเป็นสิ่งท้าทายสำคัญที่ทำให้ QH ต้องปรับแผนธุรกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โครงการของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 28% ของมูลค่าที่ดินและงานระหว่างก่อสร้าง ณ สิ้นปี 2554 โดยราคาขายเฉลี่ยของบ้านในโครงการที่ได้รับผลกระทบอยู่ที่ 8 ล้านบาทต่อหลัง ในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2555 ยอดขายจากโครงการที่ได้รับผลกระทบฟื้นตัวประมาณ 30% ของยอดขายปกติ

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าน่าจะมีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลางถึงสูงในสัดส่วนพอสมควรที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อบ้านจนกว่าจะถึงสิ้นปี 2555 หากสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้สามารถบริหารจัดการได้ ยอดขายในโครงการของบริษัทที่เคยถูกน้ำท่วมก็น่าจะสามารถปรับตัวสู่ระดับปกติได้ภายในปี 2556

ฐานะการเงินของ QH ในปี 2554 อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด จากอัตรากำไรที่ลดลงและภาระหนี้ที่สูงขึ้น ผลประกอบการของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวช้ากว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนรายได้จำนวนมากจากโครงการแนวราบและมีโครงการคอนโดมิเนียมที่คาดว่าจะโอนได้ในปี 2555 ไม่มากนัก โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 บริษัทมีมูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) อยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท ทั้งนี้ ประมาณ 1.6 พันล้านบาทเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนได้ในปี 2555 ส่วนที่เหลือเป็นโครงการที่จะโอนในปี 2556 อัตรากำไรของ QH น่าจะยังคงได้รับแรงกดดันอย่างต่อเนื่องในระยะสั้นจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 64.2% เพิ่มขึ้นจาก 52.4% ในปี 2553 ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับเงินสดประมาณ 2 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 จากการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้ของบริษัทก็คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในระยะปานกลางจากการลงทุนเพื่อเปิดโครงการใหม่มูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยโครงการคอนโดมิเนียมจะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่ารวม ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมโดยปกติจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 2 ปี บริษัทมีสภาพคล่องที่อ่อนแอลงแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งนี้ สภาพคล่องของบริษัทได้รับแรงหนุนจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ด้วยมูลค่ายุติธรรมที่ 2 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555

จากวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2554 ทำให้คาดว่ายอดขายที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวลงโดยเฉพาะในทำเลที่เผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก ทั้งนี้ นโยบายสนับสนุนด้านภาษีและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปลอดดอกเบี้ยของรัฐบาลอาจไม่มีผลกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาสต่อ ๆ ไปเนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคถดถอยลง นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนแรงกดดันด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลมีผลบังคับใช้ และภาระหนี้ของผู้ประกอบการที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ