โบรกฯเห็นพ้องแนะ"ซื้อ"สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) แม้ผลประกอบการไตรมาส 2/55 ออกมาต่ำกว่าคาดหมาย เป็นผลจากการโรงงานหล่อเหล็กที่เพิ่งเริ่มเดินเครื่องยังผลิตสินค้าไม่ทันตามออเดอร์ รวมทั้งผลจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น แต่ประเมินครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกเมื่อโรงงานหล่อเหล็กผลิตได้เต็มที่ คาดว่าจะช่วยผลักดันมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นเป็น 19-20% จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ราว 14-15% ขณะที่ยอดขายยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องตามยอดผลิตรถยนต์
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท)
บล.ฟิลลิป ซื้อเก็งกำไร 32.00
บล.เอเซียพลัส ซื้อ 33.48
บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 36.50
บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 36.60
บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 33.00
บล.เคทีบี ซื้อ 33.86
บล.เคจีไอ ซื้อ รอทบทวน
นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้กำไรสุทธิ SAT ในไตรมาส 2/55 อยู่ที่ 161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 22% จากไตรมาสแรกของปี และเป็นผลกำไรต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากโรงงานหล่อเหล็กเหนียวเฟส 2 เพิ่งเริ่มการผลิต อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีแรกกำไรสุทธิยังเติบโต 41% โดยที่อัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)อยู่ที่ 15.2%
ส่วนครึ่งปีหลังมองว่า บริษัทน่าจะมีผลประกอบการที่ดีกว่าครึ่งปีแรก จากยอดขายรถยนต์ที่ยังเติบโตได้ต่อเนื่องและโรงงานหล่อเหล็กมีการผลิตที่มากขึ้น ซึ่งจะทำให้มาร์จิ้นในครึ่งปีหลังเพิ่มเป็น 19-20% เข้าสู่ภาวะปกติ และทั้งปีมาร์จิ้นน่าจะอยู่ที่ 19%
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่น่ากังวล แม้ยอดขายทั้งปีน่าจะเติบโตได้ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่การทำกำไรอาจจะได้รับผลกระทบจากราคาเหล็กและราคาวัตถุดิบที่ผันผวน รวมถึงโรงงานหล่อเหล็กจะสามารถผลิตได้ตามแผนที่บริษัทวางไว้หรือไม่
ส่วนปี 56 มองว่ายอดขายบริษัทน่าจะเติบโต 5-10% ตามยอดการผลิตรถยนต์ที่สภาอุตสาหกรรมประเมินว่าจะมียอดผลิตที่ 2.3 ล้านคัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีนี้ที่ 2.1-2.2 ล้านคัน แต่จะเห็นกำไรเติบโตได้ดีกว่ายอดขาย เนื่องจากโรงหล่อเหล็กที่เดินเครื่องผลิตเต็มที่จะช่วยลดต้นทุนและสร้างมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น
"โดยพื้นฐานยังแนะนำ ซื้อ ส่วนราคาเป้าหมายของรีวิวเพื่อออกบทวิเคราะห์อีกครั้ง แต่ระยะสั้นอาจเห็นการสวิชท์การลงทุนในหุ้นอื่นในกลุ่มยานยนต์ จากผลประกอบการของ SAT ที่ต่ำกว่าคาด" นายสุโชติ กล่าว
นางสาวนวลพรรณ น้อยรัชชุกร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส ระบุ ในไตรมาส 2/55 บริษัทรายงานกำไรสุทธิ ที่ 161 ล้านบาท ต่ำกว่าคาดการณ์ ส่วนยอดขายอยู่ที่ 2.23 พันล้านบาท เติบโต 50% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเติบโต 2% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจาก อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ 14.4% ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 17% จากกำลังผลิตไม่เพียงพอกับออเดอร์ที่เพิ่มขึ้น จึงต้องมีการสั่งซื้อสินค้าจากภายนอก และมีแรงกกดันจากต้นทุนที่สูงขึ้นของวัตถุดิบและค่าแรง
แต่มองว่า แนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิ 368 ล้านบาท ตามการเติบโตของการผลิตรถยนต์ ที่จะมีออเดอร์ค้าง และออเดอร์ใหม่มากขึ้นจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ และมาตรการภาครัฐจากโครงการรถยนต์คันแรก โดยคาดว่าทั้งปี 55 บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 875 ล้านบาท เติบโตเท่าตัว จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 408 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20%