ทริศประกาศเพิ่มแนวโน้มเครดิต PRIN เป็น "Stable" สะท้อนธุรกิจฟื้นตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 22, 2012 09:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ บมจ. ปริญสิริ(PRIN)เป็น “Stable" หรือ “คงที่" จาก “Negative" หรือ “ลบ" ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญและยอดรับรู้รายได้ที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและสามารถโอนที่อยู่อาศัยให้แก่ลูกค้าได้ตามแผน นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทก็ไม่ควรสูงกว่าระดับในปัจจุบันด้วย

ขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB-"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านจัดสรร อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่างถูกลดทอนบางส่วนจากผลงานที่ไม่น่าพอใจในตลาดคอนโดมิเนียมและระดับอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงภาวะการขาดแคลนแรงงาน ตลอดจนต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น และลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงด้วยเช่นกัน

ทริสเรทติ้งรายงานว่า PRIN เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2543 โดยกลุ่มตระกูลโกวิทจินดาชัยและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2548 กลุ่มตระกูลโกวิทจินดาชัยยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทในสัดส่วน 46% ของหุ้นทั้งหมด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 บริษัทเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลายซึ่งรวมถึงบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียมที่เน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ระดับปานกลางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล การมีโครงการบ้านจัดสรรที่มีขนาดไม่ใหญ่มากช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการพัฒนาโครงการแต่ละแห่งให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ในปี 2554 บริษัทมียอดขายลดลงอย่างมากเป็น 2,116 ล้านบาท โดยลดลง 47% จาก 4,017 ล้านบาทในปี 2553 ทั้งนี้ การลดลงของยอดขายส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่หลายโครงการและผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 อย่างไรก็ตาม ยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 1,547 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันของปี 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่ดีขึ้นในสินค้าที่อยู่อาศัยทุกประเภท ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2555 บริษัทมีแผนการจะเปิดโครงการใหม่อีก 7 โครงการด้วยมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาทซึ่งคาดว่าจะทำให้ยอดขายของปี 2555 ทั้งปีอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

รายได้ของบริษัทในปี 2554 ลดลงเป็น 2,238 ล้านบาท ซึ่งลดลงอย่างมากจาก 4,449 ล้านบาทในปี 2553 การลดลงของรายได้เป็นผลมาจากยอดขายที่ลดลงและความล่าช้าของงานก่อสร้างซึ่งทำให้ต้องเลื่อนการส่งมอบที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ให้แก่ลูกค้าออกไป อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถปรับปรุงวิธีการก่อสร้างและสามารถโอนทาวน์เฮ้าส์ให้แก่ลูกค้าได้มากขึ้นในระหว่างครึ่งแรกของปี 2555 เป็นผลให้รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 1,434 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 46% จาก 982 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 ทั้งนี้ อัตราการส่งมอบบ้านเดี่ยวที่รอรับรู้รายได้ยังคงต่ำอยู่และจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น

บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงที่ 37%-38% ของรายได้ในช่วงปี 2554 จนถึงครึ่งแรกของปี 2555 แม้ว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นในปี 2554 แต่การลดลงอย่างมากของรายได้ประกอบกับการมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเป็นจำนวนมากก็เป็นสาเหตุทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลง โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขายในปี 2554 ลดลงเป็น 13.55% จาก 16.09% ในปี 2553 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเป็น 17.73% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 นอกจากนี้ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 6.74% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 จากระดับเพียง 6.26% ในปี 2554 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 31.67% ณ เดือนธันวาคม 2553 มาอยู่ที่ระดับประมาณ 47% ในปี 2554 และครึ่งแรกของปี 2555


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ