ทริสฯให้เครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ SIRI ที่ "BBB" คงเครดิตองค์กร "BBB+"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 20, 2012 17:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของ บมจ. แสนสิริ (SIRI) ที่ระดับ “BBB" ในขณะเดียวกันทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB" ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำ ตลอดจนผลงานที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบรนด์ที่มีชื่อเสียงในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร ความหลากหลายของสินค้า และยอดขายรอการส่งมอบจำนวนมากที่เป็นหลักประกันรายได้ในอนาคตของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากราคาวัสดุก่อสร้างและค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยส่วนที่เหลือให้แก่ลูกค้าได้ตามกำหนด แม้ว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะได้รับแรงกดดันจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถดำรงอัตราส่วนกำไรเอาไว้ในระดับที่น่าพอใจได้ในระยะปานกลาง แม้บริษัทจะมีการขยายโครงการจำนวนมาก กระแสเงินสดของบริษัทก็ไม่ควรอ่อนตัวลงไปมากกว่านี้ และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็ไม่ควรสูงกว่าระดับในปัจจุบัน

ทริสเรทติ้งรายงานว่า SIRI เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ณ เดือนสิงหาคม 2555 บริษัทมีโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมเพื่อขายจำนวน 76 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 95,000 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 44% บ้านเดี่ยว 41% และทาวน์เฮ้าส์ 15% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด ราคาขายเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยโดยรวมอยู่ที่ 3.7 ล้านบาทต่อหน่วย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้ประมาณ 39,000 ล้านบาท และมีมูลค่าโครงการเหลือขายอีกประมาณ 30,000 ล้านบาท บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีแบรนด์ที่อยู่อาศัยที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี รวมถึงการมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่ง และมีสินค้าที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดคอนโดมิเนียม

ยอดขายของบริษัทในปี 2554 ลดลง 13% เหลือ 21,792 ล้านบาท จากสถิติสูงสุดที่ 24,995 ล้านบาทในปี 2553 โดยเป็นผลมาจากยอดขายคอนโดมิเนียมที่ลดลงเนื่องจากบริษัทเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 2554 น้อยกว่าในปี 2553 จึงเป็นผลให้ยอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2554 ลดลงถึง 43% เป็น 8,204 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ในปี 2554 เติบโต 35% และ 18% ตามลำดับ

ใน 8 เดือนแรกของปี 2555 ยอดขายของบริษัทเท่ากับ 23,239 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 14,404 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยเป็นผลมาจากความสำเร็จในการเปิดขายคอนโดมิเนียมใหม่หลายโครงการ ยอดขายคอนโดมิเนียมในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2555 เท่ากับ 13,271 ล้านบาท ซึ่งเกือบเท่ากับยอดขายคอนโดมิเนียมสูงสุดในปี 2553 ทั้งปีที่ 14,486 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดขายที่สูงขึ้นทำให้บริษัทมียอดสินค้าที่รอการส่งมอบแก่ลูกค้าจำนวนมาก

รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 20,542 ล้านบาทในปี 2554 สูงขึ้น 10% จาก 18,596 ล้านบาทในปี 2553 รายได้รวมของบริษัทในครึ่งแรกของปี 2555 เท่ากับ 10,586 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จาก 7,887 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจากสินค้าทุกประเภท อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 33%-34% ของรายได้รวมในช่วงระหว่างปี 2553 จนถึงครึ่งแรกของปี 2555

อย่างไรก็ตาม การสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาลและการส่งเสริมการตลาดที่มากขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทสูงขึ้นโดยเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของรายได้รวมในปี 2554 และ 23% ในครึ่งแรกของปี 2555 จาก 16%-18% ในช่วงปี 2551-2553 ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงเหลือ 12% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 จาก 15%-16% ในช่วงปี 2552-2554 ซึ่งต่ำกว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำส่วนใหญ่ กระแสเงินสดของบริษัทยังคงต่ำกว่าคู่แข่ง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเท่ากับ 12% ในช่วงปี 2552-2554 และ 3.23% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในครึ่งแรกของปี 2555 การขยายโครงการจำนวนมากทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่าผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายราย โดยอยู่ที่ระดับ 67.48% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 จาก 63% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 และ 2554


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ