ทริสศให้เครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน-คงเครดิตองค์กร THAI ที่ A+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 3, 2012 17:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาทของ บมจ.การบินไทย (THAI) ที่ระดับ “A+" ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A+" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่ใกล้ครบกำหนดไถ่ถอนและใช้เป็นทุนสำหรับการดำเนินงานและการลงทุนในอนาคต

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจการบินระหว่างประเทศในเส้นทางที่บินเข้าและออกจากประเทศไทยและการได้รับประโยชน์จากการเป็นสมาชิก Star Alliance ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรสายการบินที่ใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการมีภาระหนี้ที่ค่อนข้างสูงและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผันผวน รวมถึงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กระทบต่อธุรกิจสายการบิน เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความไม่สงบทางการเมือง รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงทั้งจากสายการบินทั่วไปและสายการบินต้นทุนต่ำที่จะกดดันอัตรารายได้ต่อผู้โดยสาร-กิโลเมตรอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลาง

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทการบินไทยจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจการบินระหว่างประเทศที่มีประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้นเอาไว้ได้ โดยอันดับเครดิตยังอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงได้รับประโยชน์จากการมีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต่อไป ดังนั้น การแปรรูปกิจการของบริษัทอาจส่งผลให้อันดับเครดิตของบริษัทถูกปรับลดลงได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ความสามารถในการทำกำไรโดยการลดค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานและด้านเชื้อเพลิงจะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาคุณภาพอันดับเครดิตของบริษัทเอาไว้โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทต้องมีการลงทุนอย่างมาก

ทริสเรทติ้งรายงานว่า อันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของ THAI ซึ่งสะท้อนถึงการสนับสนุนจากภาครัฐในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจและสายการบินแห่งชาติ ดังนั้น อันดับเครดิตจะได้รับการปรับลดลงหากรัฐบาลลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือต่ำกว่า 50% ปัจจุบันกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 51% นอกจากนี้ ยังมีธนาคารออมสินซึ่งเป็นธนาคารของรัฐบาลไทยเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 2.1% ด้วย ในขณะที่หุ้นของบริษัทในสัดส่วน 15.5% ที่ถือโดยกองทุนวายุภักษ์ 1 นั้นจัดเป็นการถือหุ้นโดยผู้ลงทุนภาคเอกชนแม้กองทุนวายุภักษ์ 1 จะได้รับการจัดตั้งโดยกระทรวงการคลังเพื่อลงทุนในรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม

ปัจจุบัน THAI เป็นหนึ่งในสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเซีย โดย ณ เดือนตุลาคม 2555 บริษัทให้บริการเส้นทางการบินระหว่างประเทศ ณ สนามบินปลายทาง 63 แห่งทั่วโลก ด้วยเที่ยวบินจำนวน 614 เที่ยวต่อสัปดาห์ บริษัทมีปริมาณที่นั่งในปีช่วงครึ่งแรกของปี 2555 อยู่ที่ระดับเดียวกันกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในเส้นทางการบินระหว่างประเทศ โดยในปี 2554 มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 38.9% ของจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ใช้บริการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติต่าง ๆ ของไทย

สำหรับการบินภายในประเทศนั้น ปริมาณการจราจรทางอากาศโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่สายการบินต้นทุนต่ำเริ่มให้บริการในปี 2546 ทำให้จำนวนผู้โดยสารทั้งระบบเพิ่มขึ้นจาก 7.2 ล้านคนในปี 2546 มาอยู่ที่ 14.3 ล้านคนในปี 2554 กระนั้นส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทก็ลดลงจาก 85% ในปี 2546 เหลือ 37% ในปี 2554 ธุรกิจการบินภายในประเทศสร้างรายได้ให้แก่บริษัทเพียง 11% ของรายได้รวม การมีต้นทุนดำเนินงานที่ค่อนข้างสูงกว่าสายการบินต้นทุนต่ำทำให้ THAI ต้องกำหนดกลยุทธ์ที่จะเพิ่มกำไรโดยการลดจำนวนเที่ยวบินภายในประเทศที่มีผลประกอบการขาดทุนและเปิดโอกาสให้สายการบินราคาประหยัดที่เป็นบริษัทย่อยของบริษัทคือ “นกแอร์" เป็นผู้ให้บริการแทน

นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ขึ้นมาเพื่อให้บริการสายการบินคุณภาพสูงระดับราคาปานกลางภายใต้ชื่อ“ไทยสไมล์"ซึ่งเน้นให้บริการแก่กลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลาง โดยไทยสไมล์จะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแข่งขันของบริษัทเพื่อเพิ่มสัดส่วนทางการตลาด จากสายการบินต้นทุนต่ำอื่น ๆ ทั้งในเส้นทางการบินภายในประเทศและในภูมิภาคเอเชีย โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 บริษัทมีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารอยู่ที่ระดับ 76.7% เปรียบเทียบกับระดับ 71.3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 อย่างไรก็ตามอัตราส่วนการขนส่งพัสดุภัณฑ์ลดลง 2.3% สู่ระดับ 55.0% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555

ช่วงครึ่งแรกของปี 2555 แม้ว่าการแข่งขันที่รุนแรงมีผลจำกัดการปรับเพิ่มค่าโดยสารและค่าชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ผลการดำเนินงานของ THAI ปรับตัวดีขึ้นจากอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจัดโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขายมากขึ้นในช่วงฤดูการท่องเที่ยวซบเซา ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 9.7% ในปี 2554 เป็น 13.2% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555

ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.6 เท่าในปี 2554 เป็น 4.5 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 ส่วนอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 10.9% ในปี 2554 และ 8.3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงเล็กน้อยจาก 69.5% ณ เดือนธันวาคม 2554 สู่ระดับ 69.1% ณ เดือนมิถุนายน 2555 โดยภาระหนี้ของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นและคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะปานกลางเนื่องจากบริษัทมีภาระการลงทุนค่อนข้างสูงอันเกิดจากการจัดหาเครื่องบินใหม่

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะได้ประโยชน์จากการจัดหาเครื่องบินใหม่ในแง่ของประสิทธิภาพการบินที่เพิ่มขึ้น ปริมาณการใช้น้ำมันที่ต่ำลง และค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่ลดลง อันดับเครดิตอาจได้รับผลกระทบหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงหรืออัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ