ทริสฯเพิ่มเครดิตองค์กร "อีซี่ บาย" เป็น "BBB+" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 7, 2012 17:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร ของบมจ.อีซี่ บาย เป็นระดับ “BBB+" จากระดับ“BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB+"

อันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงฐานเงินทุน รวมถึงฐานะทางการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของบริษัทในช่วงปี 2551 ถึงครึ่งแรกของปี 2555 และสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากฐานะทางเครดิตที่อ่อนแอลงของบริษัทแม่คือ ACOM Co., Ltd. (ACOM) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จากความเสี่ยงของกลุ่มลูกค้าที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรง ปัจจัยเหล่านี้อาจจำกัดการเติบโตทางธุรกิจและการทำกำไร รวมถึงอาจทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลงในอนาคต

แนวโน้มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทเปลี่ยนเป็น “Stable" หรือ “คงที่" จาก “Positive" หรือ “บวก" ซึ่งสะท้อนถึงผลประกอบการของบริษัทที่ดีขึ้นโดยเป็นผลมาจากคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ระมัดระวัง โดยบริษัทสามารถทำกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2553 ปี 2554 และครึ่งแรกของปี 2555 ซึ่งทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตและทำให้อันดับเครดิตของบริษัทแข็งแรงขึ้น การที่บริษัทมีระบบการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตที่ดีและการมีเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจและการดำเนินงานในอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อการบริโภค

อันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันสะท้อนถึงฐานะการเงินที่อ่อนแอลงของ ACOM ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัท ทั้งนี้ฐานะการเงินของ ACOM อ่อนแอลงตั้งแตปี 2552 เนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และสำหรับใช้คืนแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกินตามผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบตามกฎหมาย “Money Lending Business Law" ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจน้อยลง อนึ่ง อันดับเครดิตของ ACOM ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ “BB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" ซึ่งจัดโดย Standard & Poor’s (S&P) แนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" สำหรับอันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทอีซี่ บาย สะท้อนถึงฐานะทางการเงินของ ACOM ที่เข้มแข็งขึ้นในปีงบประมาณ 2555 และแนวโน้มอุตสาหกรรมการให้สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ แรงกดดันต่อผลประกอบการทางการเงินก็ลดลงเนื่องจากแนวโน้มที่ลดลงของค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการคืนเงินแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกิน การทบทวนอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ของบริษัทอาจมีการพิจารณาใหม่เมื่อทริสเรทติ้งเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ ACOM จะได้รับการสนับสนุนจาก Mitsubishi UFJ Financial Group (MUFG) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ตามเงื่อนไขสัญญาการค้ำประกันที่กำหนดภายใต้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น บริษัทแม่ผู้ค้ำประกันจะให้การค้ำประกันเต็มจำนวนแก่หุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้หากบริษัทอีซี่ บายไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด ในกรณีที่บริษัทถูกฟ้องล้มละลายและมีการจ่ายคืนหนี้แก่ผู้ถือหุ้นกู้แต่หนี้นั้นถูกเรียกคืน ภาระการชำระหนี้ดังกล่าวจะตกเป็นของบริษัทผู้ค้ำประกันและจะมีผลในการชำระหนี้ทันที นอกจากนี้ หาก ACOM มีการควบรวมกิจการ บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการควบรวมกิจการจะต้องรับภาระผูกพันในการค้ำประกันหุ้นกู้ดังกล่าวด้วย หากผู้ค้ำประกันไม่สามารถจ่ายชำระได้ตามกำหนดหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถดำเนินการตามกฎหมาย ณ ศาลพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อฟ้องร้องเรียกเงินที่ผิดนัดชำระคืนได้ ภาระผูกพันของผู้ค้ำประกันภายใต้สัญญาการค้ำประกันนี้จะมีลำดับของสิทธิเรียกร้องเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของผู้ค้ำประกัน

ACOM รายงานผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 21 พันล้านเยนในปีงบประมาณ 2555 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2555) เนื่องจากการลดลงอย่างมากของการกันสำรองเพิ่มจากการที่ผู้กู้สามารถขอคืนดอกเบี้ยที่จ่ายเกินไปก่อนหน้านี้ได้และจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ส่งผลให้ผลกำไรของบริษัทดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิถึง 203 พันล้านเยนในปีงบประมาณ 2554 สำหรับไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2556 ACOM รายงานผลกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 17 พันล้านเยน เนื่องจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของยอดการขอคืนดอกเบี้ยที่จ่ายเกินไปของลูกค้าและรายได้จากการดำเนินงานที่ดีขึ้น

ณ เดือนมิถุนายน 2555 สินเชื่อรวมของบริษัทอีซี่ บาย มีจำนวน 75 พันล้านเยน คิดเป็นสัดส่วน 5% ของสินเชื่อรวมของ ACOM บริษัทอีซี่ บายเป็นบริษัทย่อยแห่งแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของ ACOM และมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับ ACOM ในการเป็นผู้ประกอบการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภครายสำคัญในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ACOM ยังมีพันธะสัญญาที่เหนียวแน่นกับบริษัทในการให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงินและธุรกิจอันได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ทางธุรกิจที่ใช้ในทางปฏิบัติด้วย

การมีประสบการณ์มากกว่า 15 ปีในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย ส่งผลให้บริษัทอีซี่ บายมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ในขณะที่การสนับสนุนทางการเงินและธุรกิจอย่างต่อเนื่องจาก ACOM เป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมฐานะทางการตลาดและการเติบโตของบริษัทในอนาคต แม้ว่าลักษณะของธุรกิจจะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่แล้วจากการปล่อยสินเชื่อต่อรายในจำนวนไม่มากให้แก่ลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก แต่บริษัทก็ยังคงมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตอยู่เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบเนื่องจากภาครัฐให้ความสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคมากขึ้น

ตั้งแต่ปี 2551 คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอีซี่ บายดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อค้างชำระมากกว่า 3 เดือนต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 5.62% ในปี 2550 เป็น 2.14% ในปี 2554 และ 1.91% ณ เดือนมิถุนายน 2555 ในทางตรงข้าม สัดส่วนเฉลี่ยของอุตสาหกรรมกลับเพิ่มขึ้นเป็น 3% ณ เดือนมิถุนายน 2555 จาก 2.75% ในปี 2554 ในขณะที่สัดส่วนหนี้สูญตัดบัญชีสุทธิต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยก็ลดลงจาก 13.22% ในปี 2552 เป็น 9.29% และ 6.73% ในปี 2553 และ 2554 ตามลำดับ

บริษัทรับรู้ผลขาดทุนเพียงเล็กน้อย จากผลกระทบของอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 เนื่องจากบริษัทได้ปรับฐานลูกค้าจากกลุ่มคนงานในโรงงานมาเป็นกลุ่มพนักงานในสำนักงานตั้งแต่ปี 2552 บริษัทได้นำความรู้ในการดำเนินธุรกิจและเครื่องมือบริหารความเสี่ยงต่างๆ จาก ACOM มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดของไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบจำลองการให้คะแนนความน่าเชื่อถือของลูกค้า (Credit Scoring) ที่ทันสมัย การบริหารร้านค้าเครือข่ายและฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมาตรฐานและขั้นตอนการติดตามจัดเก็บหนี้เพื่อใช้ควบคุมคุณภาพสินทรัพย์

บริษัทอีซี่ บายมีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งขึ้นหลังปี 2550 จนเริ่มกลับมามีกำไร โดยในปี 2551 บริษัทมีกำไรสุทธิ 310 ล้านบาท ต่อมาในปี 2552 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 326 ล้านบาท ในปี 2553 เพิ่มเป็น 925 ล้านบาท และในปี 2554 เป็น 1,310 ล้านบาท สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2555 รายได้สุทธิยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 1,010 ล้านบาท จาก 708 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2554

การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการขยายจำนวนสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำลง การมีกำไรที่แข็งแกร่งในขณะที่มีการจ่ายเงินปันผลไม่มากทำให้บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้น โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 5.70% ในปี 2550 เป็น 10.58% ในปี 2553 เป็น 14.56% ในปี 2554 และเป็น 17.57% ณ เดือนมิถุนายน 2555 ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทก็ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกันจาก 14 เท่าในปี 2551 มาเป็นอัตราที่น้อยกว่า 5 เท่า ณ เดือนมิถุนายน 2555

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2555 เป็นต้นมา บริษัทอีซี่ บายได้เปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เนื่องจาก ACOM ได้ถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วนมากกว่า 50% ภายหลังจากการซื้อหุ้นทั้งหมดที่ถือโดยกองทุนเพื่อการร่วมลงทุนในสัดส่วน 25.5% ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว บริษัทมีเงื่อนไขที่จะต้องดำรงเงินทุนให้เพียงพอ เพื่อให้หนี้สินของบริษัทมีสัดส่วนเท่ากับหรือไม่เกิน 7 เท่าของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของบริษัท ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2555 บริษัทได้จัดสรรกำไรสะสมจำนวน 3,600 ล้านบาทให้แก่ผู้ถือหุ้นในรูปของหุ้นปันผล ซึ่งมีผลให้เงินทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 3,900 ล้านบาท จาก 300 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ