ด้านนายวรวิทย์ วีรบวรพงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร SGP กล่าวว่า ในปี 55 คาดว่ารายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด เติบโตตามเป้าหมายที่ 30% จากปีก่อนหรือประมาณ 50,000 ล้านบาท จากปัจจัยหนุน 2 ทาง คือจากการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะในภาคครัวเรือนซึ่งทำให้แอลพีจีขยายตัวต่อเนื่อง
และการเข้าไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Chevron Ocean Gas & Energy Ltd. และ BP Zhuhai (LPG) Limited ซึ่งเป็นคลังแก๊สขนาดใหญ่ในซัวเถา และจูไห่ รวมถึงมีกิจการ Supergas Company Limited ในเวียดนามและได้เข้าซื้อกิจการ Shell Gas (LPG) Singapore Pte. Ltd.ในสิงคโปร์ จึงทำให้ขณะนี้บริษัทมีคลังเก็บแอลพีจีที่รวมแล้วใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออก
ทั้งนี้ ภายในปี 55 สัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายแอลพีจีในประเทศกับต่างประเทศจะเปลี่ยนไป จากเดิมมีสัดส่วนในประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ 50:50 ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็น 40:60 ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถรองรับการเติบโตของภาคพลังงานในประชาคมอาเซียนต่อไปได้
“หากรัฐบาลมีการลอยตัวราคาก๊าซของภาคครัวเรือนให้เท่ากับภาคอุตสาหกรรม ก็จะเป็นโอกาสให้สามารถนำเข้าแก๊สเพื่อเข้ามาทำตลาดในประเทศได้ โดยในปัจจุบันบริษัทฯ เองก็ได้มีการนำเข้าแก๊สจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางอยู่แล้ว แต่ส่งตรงเข้าไปสู่ประเทศในอาเซียนและจีน ยังไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทยเนื่องจากปัญหาทางด้านต้นทุน ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตเกือบเท่าตัวเพราะสามารถขายในราคาที่ไม่ต้องถูกควบคุมได้ "นายวรวิทย์ กล่าว