ทั้งนี้รายการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อได้บรรลุเงื่อนไขต่างๆ ใน CSPA แล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556
หลังจากการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทดังกล่าวแล้วจะทำให้ เอสซีจี มีกำลังการผลิตกระเบื้องเซรามิกรวมทั้งสิ้น 225 ล้านตารางเมตร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนในประเทศไทยร้อยละ 48 ประเทศเวียดนามร้อยละ 33 ประเทศ อินโดเนียเซียร้อยละ 14 และประเทศฟิลิปปินส์ร้อยละ 5
Prime Group ดำเนินธุรกิจโดยมีโรงงานกระเบื้องเซรามิก 6 โรงงาน ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 75 ล้านตารางเมตร และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำในประเทศเวียดนาม โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศประมาณร้อยละ 20 นอกจากนั้น Prime Group ยังเป็นเจ้าของสินทรัพย์หลักๆ เช่น เหมืองดินเหนียว เหมืองทราย รวมทั้งเหมืองแร่เฟลด์สปาร์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตกระเบื้องเซรามิก และยังเป็นเจ้าของโรงงานกระเบื้องหลังคาดินเผา ซึ่งมีกำลังการผลิต 1.5 ล้านตารางเมตร
"การลงทุนดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์หลักของ เอสซีจี ที่มุ่งมั่นจะเติบโตและยกระดับความสามารถและศักยภาพในการขยายการลงทุนไปยังภูมิภาคอาเซียน หลังจากที่ เอสซีจี ได้เข้าซื้อหุ้นในธุรกิจกระเบื้องเซรามิกของ KIA (PT Keramika Indonesia Associasi Tbk) ในประเทศอินโดนีเซียเมื่อกลางปี 2554 และการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในธุรกิจกระเบื้องเซรามิกของ Mariwasa (Mariwasa-Siam Ceramics, Inc) ในประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อต้นปี 2555" นายกานต์ ระบุ