ทริสฯให้เครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน SIRI ที่ "BBB" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 20, 2012 16:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของ บมจ. แสนสิริ (SIRI ที่ระดับ “BBB" ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB" ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำ ตลอดจนผลงานที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบรนด์ที่มีชื่อเสียงในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร ความหลากหลายของสินค้า และยอดขายรอการส่งมอบจำนวนมากที่เป็นหลักประกันรายได้ในอนาคตของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ค่อนข้างสูง

ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง รวมถึงความกังวลในต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างในปัจจุบัน

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต“Stable"หรือ“คงที่"สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยส่วนที่เหลือให้แก่ลูกค้าได้ตามกำหนด แม้ว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะได้รับแรงกดดันจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถดำรงอัตราส่วนกำไรเอาไว้ในระดับที่น่าพอใจได้ในระยะปานกลาง แม้บริษัทจะมีการขยายโครงการจำนวนมาก กระแสเงินสดของบริษัทก็ไม่ควรอ่อนตัวลงไปมากกว่านี้ และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็ไม่ควรสูงกว่าระดับในปัจจุบัน

SIRI เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ณ เดือนพฤศจิกายน 2555 บริษัทมีโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมเพื่อขายจำนวน 88 โครงการ โดยมีมูลค่าเหลือขายรวม 33,136 ล้านบาท โดยเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 55% คอนโดมิเนียม 25% และทาวน์เฮ้าส์ 20% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด ราคาขายเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยโดยรวมอยู่ที่ 3.8 ล้านบาทต่อหน่วย

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้ประมาณ 50,000 ล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีแบรนด์ที่อยู่อาศัยที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี รวมถึงการมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่ง และมีสินค้าที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดคอนโดมิเนียม

ยอดขายของบริษัทในช่วง 11 เดือนของปี 2555 ทำสถิติสูงสุดที่ 39,283 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 21,792 ล้านบาทของยอดขายทั้งปีของปี 2554 โดยเป็นผลมาจากความสำเร็จในการเปิดขายโครงการใหม่จำนวนมากในปี 2555 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการคอนโดมิเนียม ยอดขายคอนโดมิเนียมทำสถิติสูงสุดที่ 26,130 ล้านบาทในช่วง 11 เดือนของปี 2555 เพิ่มขึ้นจาก 8,204 ล้านบาทในปี 2554 และ 14,486 ล้านบาทในปี 2553 ยอดขายบ้านเดี่ยวเติบโต 9% เป็น 9,723 ล้านบาทในช่วง 11 เดือนของปี 2555 ในขณะที่ยอดขายทาวน์เฮ้าส์ลดลง 13% เป็น 3,430 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดขายที่สูงขึ้นทำให้บริษัทมียอดสินค้าที่รอการส่งมอบแก่ลูกค้าจำนวนมาก

รายได้รวมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 เท่ากับ 15,795 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จาก 12,793 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจากสินค้าทุกประเภท อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 33%-34% ของรายได้รวมในช่วงปี 2553 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2555 อย่างไรก็ตาม การสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาลและการส่งเสริมการตลาดที่มากขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทสูงขึ้นโดยเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของรายได้รวมในปี 2554 และ 24% ใน 9 เดือนแรกของปี 2555 จาก 16%-18% ในช่วงปี 2551-2553 ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงเหลือ 11% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 จาก 15%-16% ในช่วงปี 2552-2554 ซึ่งต่ำกว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำส่วนใหญ่

กระแสเงินสดของบริษัทยังคงต่ำกว่าคู่แข่ง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเท่ากับ 12% ในช่วงปี 2552-2554 และ 4.57% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ใน 9 เดือนแรกของปี 2555 การขยายโครงการจำนวนมากทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่าผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายราย โดยเพิ่มขึ้นเป็น 67% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 จาก 63% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 และ 2554


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ