ทริสฯคงเครดิตองค์กร STEC ที่ "A-" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 21, 2012 09:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำตลาดของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ 3 รายของประเทศ ตลอดจนสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ปริมาณงานที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากและหลากหลาย และผลงานที่ได้รับการยอมรับมานานทั้งจากภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงของการมีต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงกว่าประมาณการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการที่ทำสัญญาราคาต่อหน่วยแบบคงที่ (Fixed-unit Price Contract) ซึ่งมีระยะเวลาก่อสร้างยาวนาน ตลอดจนความเสี่ยงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีความผันผวนและเป็นวงจรขึ้นลง และแผนของบริษัทที่จะขยายสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำเนินมาตรการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานต่อไป นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะดำรงความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อลดทอนความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุนการก่อสร้าง และ/หรือจากปัญหาต้นทุนโครงการที่สูงเกินประมาณการเนื่องจากความล่าช้าของโครงการ และจากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่คาดไม่ถึง

STEC เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศซึ่งมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในโครงการก่อสร้างของทั้งภาครัฐและเอกชนโดยได้รับใบอนุญาตประเภทผู้รับเหมาชั้นหนึ่งจากหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ทั้งนี้ บริษัทเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาเพียงไม่กี่รายที่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้นในการได้รับสิทธิเข้าประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เมื่อพิจารณาจากผลงานที่ได้รับการยอมรับและการสนับสนุนจากสถาบันการเงินหลายแห่งแล้วน่าจะทำให้บริษัทมีโอกาสชนะการประมูลโครงการขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเปิดประมูลในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

นอกเหนือจากงานก่อสร้างสาธารณูปโภคแล้ว บริษัทยังมีความชำนาญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและโรงงานปิโตรเคมี ตลอดจนงานท่อ และงานประกอบและติดตั้งโครงสร้างเหล็กด้วย โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าจำนวน 9 โรงคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 20,000 ล้านบาท

ณ เดือนกันยายน 2555 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 63,094 ล้านบาทซึ่งรวมถึงโครงการที่ชนะการประมูลและรอลงนามในสัญญามูลค่า 18,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.9% จาก 48,935 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2554 ซึ่งมูลค่าของงานที่ยังไม่ส่งมอบคิดเป็น 4.26 เท่าของรายได้ของบริษัทในปี 2554 ทั้งนี้ มูลค่างานในมือจำนวนมากจะเป็นหลักประกันรายได้ของบริษัทอย่างน้อยในช่วง 3 ปีข้างหน้า ประมาณ 58% ของมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบเป็นโครงการรถไฟฟ้า และ 21% เป็นโครงการที่มีอัตรากำไรสูงซึ่งเป็นงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า การที่บริษัทมีโครงการก่อสร้างที่มีอัตรากำไรสูงในสัดส่วนที่สูงและมีอำนาจต่อรองกับผู้จัดหาวัตถุดิบน่าจะช่วยลดทอนผลกระทบในทางลบที่อาจเกิดจากต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นได้

ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมีกำไรสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับผู้รับเหมารายใหญ่อื่นที่รับงานก่อสร้างสาธารณูปโภคของภาครัฐ อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 7.5% ในปี 2554 และ 9 เดือนแรกของปี 2555 สถานะทางการเงินของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากการมีกำไรที่แข็งแกร่งและภาระหนี้ที่ต่ำ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 10% มาตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2552 ส่วนสภาพคล่องของบริษัทนั้นก็อยู่ในระดับสูง

บริษัทยังได้ประโยชน์จากการมีความต้องการในการลงทุนเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ไม่มากในขณะที่ความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานก็ไม่สูงมากนัก ทั้งนี้ บริษัทมีเงินทุนดำเนินงานบางส่วนจากเงินรับล่วงหน้าตามสัญญาก่อสร้างจากเจ้าของโครงการ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถสั่งวัสดุอุปกรณ์ล่วงหน้าโดยใช้เครดิตของผู้จัดส่งวัสดุอุปกรณ์ได้ด้วย

สำหรับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดในพื้นที่กรุงเทพฯ บางส่วนและจังหวัดโดยรอบในไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 มีผลกระทบไม่มากนักต่อต้นทุนการก่อสร้างของบริษัท โดยโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าของบริษัทอยู่ในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมซึ่งส่งผลทำให้งานก่อสร้างล่าช้า อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับสิทธิในการขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปได้อีก 180 วันเนื่องจากเป็นโครงการก่อสร้างภาครัฐที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ