นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ (PPP) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 นี้ ทั้งนี้ PPP ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมด้านระบบบำบัดน้ำเสียและระบบสำรองน้ำและผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรม นอกจากนี้ บริษัทขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเข้าลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องไฟฟ้าประหยัดพลังงาน และลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
PPP มีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 217.5 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 82.5 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO)เมื่อวันที่ 4 - 6 กุมภาพันธ์ 2556 ในราคาหุ้นละ 5 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 412.5 ล้านบาทโดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายสุรเดช บุณยวัฒน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PPP เปิดเผยว่า "การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ของบริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด (IGC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ PPP ถือหุ้นอยู่ 69.92% โดยปัจจุบัน IGC มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 โครงการ กำลังการผลิตรวมกว่า 15 MW รับรู้รายได้เชิงพาณิชย์แล้ว 1 โครงการและคาดว่าจะรับรู้รายได้อีก 2 โครงการ ในช่วงต้นของไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการเป็นผู้นำธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทน"
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PPP 3 รายแรก ได้แก่ บริษัท พรีเมียร์ ฟิชชั่น แคปปิตอล จำกัด ถือหุ้น 61.11% ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 5.02% ตระกูลอนุรักษ์วงศ์ศรี ถือหุ้น 4.29%
การกำหนดราคา IPO ของ PPP ในราคาหุ้นละ 5 บาท ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 25 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้น 4 ไตรมาสที่ผ่านมา(ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2554 - 30 กันยายน 2555)หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully diluted) ซึ่งเท่ากับ 300 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.20 บาท
ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองตามที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม การจ่ายปันผลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยขึ้นกับแผนการลงทุน การจำเป็น และความเหมาะสมอื่นๆ ในอนาคต