นอกจากนี้ การทำธุรกรรมกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ได้สำเร็จลุล่วง โดยบีทีเอสซี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้ขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพสายหลักครอบคลุมสายสุขุมวิทและสายสีลม ระยะทางรวม 23.5 กิโลเมตร ภายใต้สัญญาสัมปทานฉบับลงวันที่ 9 เม.ย.2535 ตลอดจนสัญญาฉบับแก้ไขเพิ่มเติมซึ่งทำขึ้นระหว่างกรุงเทพมหานครและบีทีเอสซี ตลอดระยะเวลาอายุสัมปทานที่เหลืออยู่ให้แก่ BTSGIF
บีทีเอสซีและ BTSGIF ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อและโอนสิทธิรายได้ค่าโดยสารสุทธิ ฉบับลงวันที่ 17 เม.ย.2556 ซึ่งราคาขายของรายได้ค่าโดยสารสุทธิที่ขายให้แก่ BTSGIF เป็นจำนวนเงินเท่ากับ 61,399 ล้านบาท (เป็นจำนวนเงินสุทธิภายหลังการหักค่าใช้จ่ายในการจัดตั้ง BTSGIF จำนวนเงินประมาณ 1,111 ล้านบาท)
สำหรับธุรกรรมการให้หลักประกัน บริษัทฯ ได้เข้าสนับสนุนและค้ำประกัน(โดยมีการจำกัดความรับผิด)การปฏิบัติหน้าที่ของบีทีเอสซีที่มีต่อ BTSGIF ตามสัญญาซื้อและโอนสิทธิรายได้ค่าโดยสารสุทธิฉบับลงวันที่ 17 เม.ย.2556 ที่บีทีเอสซีเข้าทำกับ BTSGIF โดยบริษัทฯ ได้เข้าทำสัญญาสนับสนุนและค้ำประกันของผู้สนับสนุนกับ BTSGIF ฉบับลงวันที่ 17 เม.ย.2556 และบริษัทฯ ได้เข้าทำสัญญาจำนำหุ้นบีทีเอสซีและสัญญาจะซื้อขายหุ้นบีทีเอสซี ฉบับลงวันที่ 17 เม.ย.2556 กับ BTSGIF เพื่อเป็นหลักประกันภาระผูกพันที่บริษัทฯ มีต่อ BTSGIF ภายใต้สัญญาสนับสนุนและค้ำประกันของผู้สนับสนุน
บริษัทฯ ได้เข้าจองซื้อและเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน BTSGIF จำนวน 1,929 ล้านหน่วย ที่ราคา 10.80 บาทต่อหน่วย (หรือเท่ากับ 20,833.2 ล้านบาท) หรือเท่ากับจำนวน 1/3 (ร้อยละ 33.33) ของหน่วยลงทุน BTSGIF ทั้งหมดที่เสนอขาย โดยบริษัทฯได้ใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ในลักษณะของสินเชื่อระยะสั้น (bridge loan) เพื่อสนับสนุนการซื้อหน่วยลงทุนในครั้งนี้ โดยในวันนี้ บริษัทฯได้ใช้คืนสินเชื่อระยะสั้นทั้งจำนวนแก่ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวครบถ้วนแล้ว โดยบริษัทฯได้ใช้เงินกู้ยืมระหว่างบริษัท (intercompany loan) จากบีทีเอสซีเป็นแหล่งที่มาของเงินทุนในการใช้คืนสินเชื่อระยะสั้น (bridge loan) ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว
อนึ่ง หน่วยลงทุน BTSGIF จะเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในวันที่ 19 เม.ย.2556