วันนี้บริษัทได้ชำระเงินงวดแรกจำนวน 50 ล้านบาท ให้กับธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว
สืบเนื่องจาก ตามที่ธนาคารสินเอเซีย (ปัจจุบัน คือ ธ.ไอซีบีซี (ไทย)) ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหนี้อีกรายหนึ่งในแผนฟื้นฟูกิจการ ยื่นฟ้องบริษัทต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในมูลหนี้ค้ำประกันเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยรวมจำนวน 769.72 ล้านบาท ต่อมาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้พิพากษาให้บริษัทชำระเงินต้นจำนวน 247.50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีนับจากวันที่ 1 กันยายน 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยทั้งหมด เมื่อคำนวณถึงวันฟ้องแล้วต้องไม่เกิน 522.22 ล้านบาท แต่หากโจทก์ได้รับชำระหนี้จากการบังคับคดีกับลูกหนี้รายอื่นๆ ในมูลหนี้รายเดียวกันนี้ไปแล้วเพียงใดให้สิทธิในการบังคับชำระหนี้ของโจทก์ในคดีนี้ลดลงเพียงนี้ โดยบริษัทได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่ง
กรุงเทพใต้ดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2550 และเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี นบแต่วันฟ้อง (17 สิงหาคม 2549) ย้อนหลังไป 5 ปี โดยให้หักดอกเบี้ยที่จำเลยชำระแก่โจทก์แล้วจำนวน 651,821.92 บาท ออกด้วย และดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
อย่างไรก็ตาม จากผลของคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยน้อยลงมากจากเดิมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับจากวันที่ 1 กันยายน 2539 เปลี่ยนเป็นอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี นับจากวันที่ 17 สิงหาคม 2544 (นับแต่วันฟ้องย้อนหลังไป 5 ปี) ความละเอียดตามหนังสือที่อ้างถึง โดยคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผลของคำพิพากษาดังกล่าวทำให้บริษัทต้องตั้งสำรองหนี้สินเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 483,975,061 บาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อฐานะทางการเงินของบริษัทและการดำเนินกิจการในอนาคต ถึงแม้หนี้สินดังกล่าวได้เกิดขึ้นก่อนที่บริษัทจะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันบริษัทมีความจำเป็นต้องเร่งประนอมหนี้โดยเร็ว เพื่อลดภาระการตั้งสำรองหนี้สิน ซึ่งจะส่งผลทำให้ฐานะการเงินของบริษัทดีขึ้น