N-PARK จ่ายหนี้งวดแรกธ.ไอซีบีซี 50 ลบ.จาก 250 ลบ.หลังปรับโครงสร้างหนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 29, 2013 09:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนคร ลักษณกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แนเชอรัล พาร์ค (N-PARK) กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 3/2556 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2556 มีมติให้บริษัททำข้อตกลง ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ กับธนาคารไอซีบีซี (ไทย) โดยบริษัทจะชำระเงินจำนวน 250,000,000 บาท เพื่อประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าว โดยชำระครั้งแรกจำนวน 50 ล้านบาทภายในวันที่ 30 เมษายน 2556 และชำระทั้งหมดจำนวน 200 ล้านบาท ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2556

วันนี้บริษัทได้ชำระเงินงวดแรกจำนวน 50 ล้านบาท ให้กับธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว

สืบเนื่องจาก ตามที่ธนาคารสินเอเซีย (ปัจจุบัน คือ ธ.ไอซีบีซี (ไทย)) ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหนี้อีกรายหนึ่งในแผนฟื้นฟูกิจการ ยื่นฟ้องบริษัทต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในมูลหนี้ค้ำประกันเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยรวมจำนวน 769.72 ล้านบาท ต่อมาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้พิพากษาให้บริษัทชำระเงินต้นจำนวน 247.50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีนับจากวันที่ 1 กันยายน 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยทั้งหมด เมื่อคำนวณถึงวันฟ้องแล้วต้องไม่เกิน 522.22 ล้านบาท แต่หากโจทก์ได้รับชำระหนี้จากการบังคับคดีกับลูกหนี้รายอื่นๆ ในมูลหนี้รายเดียวกันนี้ไปแล้วเพียงใดให้สิทธิในการบังคับชำระหนี้ของโจทก์ในคดีนี้ลดลงเพียงนี้ โดยบริษัทได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่ง

กรุงเทพใต้ดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2550 และเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี นบแต่วันฟ้อง (17 สิงหาคม 2549) ย้อนหลังไป 5 ปี โดยให้หักดอกเบี้ยที่จำเลยชำระแก่โจทก์แล้วจำนวน 651,821.92 บาท ออกด้วย และดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

อย่างไรก็ตาม จากผลของคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยน้อยลงมากจากเดิมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับจากวันที่ 1 กันยายน 2539 เปลี่ยนเป็นอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี นับจากวันที่ 17 สิงหาคม 2544 (นับแต่วันฟ้องย้อนหลังไป 5 ปี) ความละเอียดตามหนังสือที่อ้างถึง โดยคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

ผลของคำพิพากษาดังกล่าวทำให้บริษัทต้องตั้งสำรองหนี้สินเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 483,975,061 บาท ในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อฐานะทางการเงินของบริษัทและการดำเนินกิจการในอนาคต ถึงแม้หนี้สินดังกล่าวได้เกิดขึ้นก่อนที่บริษัทจะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันบริษัทมีความจำเป็นต้องเร่งประนอมหนี้โดยเร็ว เพื่อลดภาระการตั้งสำรองหนี้สิน ซึ่งจะส่งผลทำให้ฐานะการเงินของบริษัทดีขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ