กำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) เพิ่มขึ้นจาก 1,611 ล้านบาท (คิดเป็น 3.08 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ในไตรมาส 1/55 มาอยู่ที่ 3,642 ล้านบาท (คิดเป็น 7.40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) และมีขาดทุนจากสต๊อคน้ำมันสุทธิรวม Oil Hedging & LCM จำนวน 160 ล้านบาท (คิดเป็น 0.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล)
ในขณะที่ในไตรมาส 1/56 มีกำไรจากสต็อคน้ำมันสุทธิรวม Oil Hedging & LCM จำนวน 2,421 ล้านบาท(คิดเป็น 4.63 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) และมี EBITDA สุทธิ 1,265 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1/55 ที่ 1,973 ล้านบาท ลดลง 708 ล้านบาทหรือร้อยละ 36
นอกจากนี้ ค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น 103 ล้านบาทจากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพน้ำม้นแก๊สโซลีน (GHU) โครงการเพิ่มสินค้าเกรดพิเศษในน้ำมันหล่อลื่นกลุ่ม 1 และโครงการขยายกำลังการผลิตโพรพิลีน (PRP) ซึ่งแล้วเสร็จในระหว่างปี 55 และโครงการท่อส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่แล้วเสร็จในระหว่างปี 56 ต้นทุนการเงินสุทธิเพิ่มขึ้น 72 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ส่วนใหญ่ยังไม่เกิดขึ้นจริงเพิ่มขึ้น 335 ล้านบาท จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากสิ้นปี 55 ที่ 30.78 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาปิดที่ 29.45 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทมีเงินกู้ระยะยาวสกุลเงินเหรียญสหรัฐ จำนวน 413 เหรียญสหรัฐ
ส่งผลให้ไตรมาส 1/56 มีกำไรสุทธิ 153 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาทส 1/55 จำนวน 820 ล้านบาท