โดยใน Q1/2556 ปตท. และบริษัทย่อยมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 10,151 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับ Q1/2555 จากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการกลั่นที่มีผลการดำเนินงานที่ลดลง เนื่องจากมีกำไรจากสต็อกน้ามันน้อยลง แม้ว่าส่วนต่างราคาน้ามันสาเร็จรูปและน้ามันดิบ (GRM) เพิ่มสูงขึ้นเกือบทุกผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม ใน Q1/2556 ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread Margin) ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์พาราไซลีนและเบนซีน เนื่องจากอุปทานพาราไซลีนยังคงตึงตัวจากความต้องการโพลีเอสเตอร์ในจีนที่เพิ่มมากขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งจากการเริ่มดำเนินการผลิตของโรงสไตรีนโมโนเมอร์ในประเทศจีน จึงทาให้ความต้องการสารเบนซีนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น จากปริมาณขายที่เพิ่มสูงขึ้นตามอัตราการผลิตที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ Spread Margin ของผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ LLDPE และ HDPE
อย่างไรก็ดี ใน Q1/2556 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 6,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q1/2555 ที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 2,931 ล้านบาท ในขณะที่ ใน Q1/2556 ปตท.และบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ จานวน 9,510 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q1/2555 จานวน 79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 ส่งผลให้ใน Q1/2556 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิลดลง 1,430 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 3.8 จากกำไรสุทธิ 37,535 ล้านบาทใน Q1/2555 (หรือคิดเป็น 13.14 บาทต่อหุ้น) เป็นกำไรสุทธิ 36,105 ล้านบาทใน Q1/2556 (หรือคิดเป็น 12.64 บาทต่อหุ้น)