ทั้งนี้ บริษัท ปิยะชาติ จำกัด เป็นผู้ประกอบการในการทำโครงการจัดสรรที่ดิน บ้านจัดสรร ทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ โดยในอดีตเป็นผู้ดำเนินการประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 2 โครงการ ประกอบด้วย
1. โครงการ “นวนคร เลคไซค์” ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร พื้นที่ในโครงการรวม 19,853 ตารางวา (49-2-53 ไร่) โดยรูปแบบการพัฒนาเป็นชุมชนพักอาศัย ประกอบไปด้วย อาคารพาณิชย์ ทาวน์เฮาส์ หอพักต่างๆ เป็นต้น มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ปัจจุบันที่ดินยังมีเหลืออยู่อีกประมาณ 705 ตารางวา (1-3-05 ไร่) ค่อนข้างจะมีศักยภาพของทำเลที่ตั้งเป็นสำคัญ เนื่องจากอยู่ในแหล่งชุมชนหนาแน่น เขตนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ภายในโครงการนวนครเลคไซค์ และมีการคมนาคมสะดวกสบาย โดยทำการศึกษาด้านธุรกิจศูนย์การค้า และธุรกิจอพาร์ตเม้นต์ และหอพักเพื่อให้เช่า ทั้งด้านอุปสงค์และอุทาน รวมทั้งเส้นทางคมนาคมสะดวกอยู่ในระหว่างการพัฒนาบนที่ดินเปล่าพื้นที่ประมาณ 705 ตารางวา (1-3-05 ไร่) ในบริเวณโครงการนวนครเลคไซค์ เขตนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของ บริษัท ปิยะชาติ จำกัด จำนวน 38 แปลง ซึ่งจัดสรรแล้ว
และ 2. โครงการที่ดินสิทธิการเช่าการรถไฟฯ บริเวณริมถนนรัชดาภิเษก มูลค่าโครงการรวม 251.80 ล้านบาท
บริษัทคาดว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งจะได้รับประโยชน์โดยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทฯ โดยเป็นการเพิ่มขอบเขตการขยายการดำเนินธุรกิจให้ครอบคลุมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งเน้นการก่อสร้างอาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียมพักอาศัยในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อเสริมรายได้รวมของบริษัทฯ และเป็นการกระจายความเสี่ยงของประเภทของธุรกิจของบริษัทฯ ให้มีความหลากหลายมากขึ้นด้วย
นอกจากนั้น เป็นการเพิ่มรายได้และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัทการเข้าลงทุนใน บริษัท ปิยะชาติ จำกัด จะช่วยให้บริษัทฯ มีรายได้ที่เติบโตมากขึ้น ทั้งนี้ บริษัท ปิยะชาติ จำกัด ได้เริ่มดำเนินก่อสร้างออฟฟิต คอนโดมิเนียม ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนให้ลูกค้าประมาณเดือนตุลาคม 2556 เป็นต้นไป จะทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทยังมีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (TWZ-W2)จำนวน 1,028.571.431 หน่วย เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ตามสัดส่วนของการถือหุ้น ในอัตราส่วน 7 หุ้นสามัญต่อ 3 ใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ในราคาการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิหุ้นละ 0.40 บาท
พร้อมทั้งให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจำนวน 102,857,143.10 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,028,571,431 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 240,000,000.50 บาท เป็น 342,857,143.60 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตาม TWZ-W2 ที่ให้ผู้ถือหุ้นเดิม
ทั้งนี้ บริษัทเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556 ในวันที่ 9 ส.ค.56