นายฉัตรชัย บุญรัตน์ ประธานกรรมการ MALEE เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/2556 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,404.80 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 91.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2556 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 83.6 ล้านบาท โดยไตรมาส 2/2556 บริษัทฯมีอัตรากำไรสุทธิหรือเน็ตมาร์จิ้นเท่ากับ 6.5% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2556 ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิหรือเน็ตมาร์จิ้น 5.8%
ผลการดำเนินงานรวมของบริษัทฯ สำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 56 มีรายได้รวม 2,805.9 ล้านบาท ต่ำกว่าปีที่แล้ว 10.2% และมีกำไรสุทธิรวม 174.8 ล้านบาท ต่ำกว่ายอดกำไรสุทธิหกเดือนแรกปี 55 ที่มียอดกำไรสุทธิ 293.9 ล้านบาท โดยในช่วงที่ผ่านมายอดขายผลิตภัณฑ์แบรนด์ MALEE เติบโตขึ้น 11% แต่สาเหตุที่รายได้และกำไรลดลงนั้น เนื่องจากปีที่แล้ว บริษัทฯได้รับงานรับจ้างผลิตปริมาณสูงมากเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากสภาวะน้ำท่วม ส่วนในปีนี้ยอดรับจ้างผลิตได้กลับสู่สภาวะปกติ จึงทำให้ยอดขายในประเทศในส่วนของธุรกิจรับจ้างผลิตลดลง ขณะเดียวกันบริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ
เมื่อไม่นานมานี้บริษัทฯ ได้ผ่านการคัดเลือกโดยนิตยสาร FORBES เป็น 1 ใน 200 สุดยอดบริษัทขนาดกลางและเล็กในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia’s 200 Best Under a Billion) ซึ่งประเทศไทยมีเพียง 8 บริษัทเท่านั้นที่ผ่านการคัดเลือก จากที่ก่อนหน้านี้บริษัทฯเป็น 1 ในไม่กี่บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ใน MSCI Small-Cap Index เป็นการแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ มีโครงสร้างธุรกิจที่มั่นคง มีผลการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง การจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมีโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสม ทำให้ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น และให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูง โดย MALEE มีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 50% มีอัตราผลตอบแทนต่อทรัพย์สิน (ROA) ที่ 23% และ อัตราเงินปันผลเฉลี่ย 4.88% (ณ 13 สิงหาคม 2556)
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินธุรกิจทั้งแบบ Own Brand Manufacturing คือการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม น้ำผลไม้และผลไม้กระป๋องภายใต้แบรนด์ MALEE นอกจากนี้ MALEE ยังเป็นผู้ให้บริการพัฒนาผลิตภัณฑ์และรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing) ให้กับบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่มั่นคงให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง