ด้วยการควบคุมต้นทุนและเงินทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท มียอด EBITDA ในไตรมาส 2 ของรอบปีบัญชี 57 (ก.ค.-ก.ย.56) 369 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมียอดที่ 139 ล้านบาท และ 56 ล้านบาท ตามลำดับ และทำให้ยอดกำไรสุทธิก่อนหักภาษี มียอดเป็นบวกที่ 138 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ของรอบปีบัญชี 57 (เม.ย.-มิ.ย.56) ที่มีผลขาดทุน (105) ล้านบาท และ ไตรมาส 2 ของรอบปีบัญชี 56 (ก.ค.-กงย.55 ) ที่มีผลขาดทุน (290) ล้านบาท
โดยในครึ่งปีแรกของรอบปีบัญชี 57 (เม.ย.-ก.ย.56 ) มียอดกำไรสุทธิก่อนหักภาษี 33 ล้านบาท เปรียบเทียบกับครึ่งปีแรกของรอบปีบัญชี 56 (เม.ย.-ก.ย.55) ที่มีผลขาดทุนสุทธิ (480) ล้านบาท
ในไตรมาส 2 ในรอบปีบัญชี 57 (ก.ค.-ก.ย.56) บริษัทมียอดขายสุทธิต่ำกว่าเป้า 4% เนื่องจากการลดลงของราคาเหล็กทั่วโลกประกอบกับการนำเข้าอย่างต่อเนื่องของสินค้าเหล็กลวดจากจีน แต่ในด้านปริมาณการขาย สูงกว่าแผนและสูงกว่าปีก่อน เนื่องจากความพยายามอย่างสูงของบริษัทในการเพิ่มยอดขายในตลาดภูมิภาค
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ของรอบปีบัญชี 57 (ก.ค.-ก.ย.56) บริษัทมียอดขาย 6,668 ล้านบาท จากปริมาณการขาย 348,000 ตัน ยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาจากความต้องการบริโภคในภาคการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มเหล็กเส้นและกลุ่มเหล็กลวดทีนำไปผลิตต่อเป็นลวดตะแกรง มียอดสูงสุดเทียบกับที่ผ่านมา และผลดังกล่าวยังมาจากความพยายามของบริษัทในการเพิ่มยอดขายในตลาดภูมิภาคด้วย เช่น เขตจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมีความต้องการบริโภคในภาคการก่อสร้างที่สูง โดยในครึ่งปีแรกของรอบปี 57 (เม.ย.-ก.ย.56) บริษัทมียอดขาย 12,620 ล้านบาท จากปริมาณการขาย 654,000 ตัน สูงกว่าครึ่งปีแรกของปี 56 (เม.ย.-ก.ย.55) 18%
จากการชะลอตัวในไตรมาส 2 ของปี 56 ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย เริ่มฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 3 โดยมีอัตราเติบโตอยู่ที่ 3% ซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงทำให้ยอดส่งออกดีขึ้น อย่างไรก็ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 2 มีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่ออัตราความต้องการบริโภคสินค้าเหล็กซึ่งยังคงมีอยู่สูงในตลอดปีนี้ โดยเติบโตอยู่ที่ 12% ในช่วงม.ค.-ก.ย.56 ในขณะที่ยอดขายของยานยนต์มีความต้องการบริโภคที่ลดลง เนื่องจาก"โครงการรถยนต์คันแรก" ได้สิ้นสุดลง
แต่ในส่วนของการก่อสร้างยังคงมีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ส่งผลให้ยอดการขายสินค้าซิเมนต์มีอัตราเติบโตอยู่ที่ 7-8 % และผลักดันให้ความต้องการบริโภคเหล็กเส้นก่อสร้างดีขึ้นในไตรมาสนี้ ความพยายามในการเพิ่มการ"เข้าถึง"และเน้นการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าส่งผลผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการเพิ่มยอดขายของบริษัทในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.56 ซึ่งมียอดสูงที่สุดในรอบ 10 ไตรมาสที่ผ่านมา
ในด้านต้นทุน ขณะที่ราคาเศษเหล็กเริ่มสูงขึ้นจนถึงปลายเดือนกันยายน แต่ราคาส่วนใหญ่ในไตรมาสไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก การดำเนินการตามกลยุทธในเรื่องการควบคุมเงินทุนหมุนเวียนอย่างเข้มงวด และการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมีผลกำไรหลังหักภาษีเป็นบวกในไตรมาส 2 (ก.ค.-ก.ย.56) และในครึ่งปีแรกของรอบปีบัญชี 57 (เม.ย.-ก.ย.56) แสดงให้เห็นการพลิกฟื้นสถานการณ์ของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของรอบปีบัญชี 56 (เม.ย.-ก.ย.55) ที่มีผลขาดทุน (501) ล้านบาทและบริษัทคาดว่าจะยังคงเน้นการปรับปรุงในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง