ทั้งนี้ บริษัทมีความเห็นว่าการมองมูลค่าของหุ้นโดยดูมูลค่าตามบัญชีเพียงอย่างเดียว เป็นการมองแบบผิวเผิน เพราะมูลค่าทางบัญชีไม่ได้บอกถึงความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตของบริษัทในอนาคตซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า ซึ่งหากลองพิจารณา P/E Ratio ของ ST จะเห็นได้ว่าอยู่เพียงแค่ 12 เท่า ซึ่งค่าเฉลี่ย P/E Ratio ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ที่ 14 เท่า
เมื่อพิจารณาจากมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดอิสระ มูลค่าหุ้นจะอยู่ที่ 501.40 บาทต่อหุ้น โดยการดำเนินงานที่ผ่านมานั้น ST เป็นบริษัทที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในอุตสาหกรรม พร้อมด้วยศักยภาพของบริษัทที่มีรายได้ที่โดดเด่น แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1.งานกรมทางหลวง เช่น งานติดตั้งระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง งานบำรุงรักษาซ่อมแซมระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง 2.งานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (EXAT) เช่น งานติดตั้งระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ Easy Pass งานขายบัตรอัตโนมัติ Easy Pass 3.โครงการอื่นๆ เช่น โครงการเกี่ยวกับระบบเก็บเงินค่าจอดรถ โครงการระบบชำระเงินทางเล็กทรอนิกส์โดยใช้บัตร Smart Card และ Mobile Payment
ทั้งนี้ จากการประเมินมูลค่าของที่ปรึกษาทางการเงิน ในปี 2557 ST จะมีรายได้มากกว่าปี 2556 เนื่องจากเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปี 2556 และคาดว่าจะมีการรับงานอย่างต่อเนื่องซึ่งมาจากการขยายงานของภาครัฐ และจำนวนผู้ใช้ทางที่เพิ่มสูงขึ้น โดยบางส่วนอยู่ในระหว่างการรอประมูลงานซึ่ง ST มีโอกาสสูงที่จะชนะการประมูลเนื่องจากมีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้มาโดยตลอด ประกอบกับในอดีตที่ ST ชนะประมูลงานหลายโครงการทั้งในนามตนเองและในนามของกิจการร่วมค้า จากรายได้และโครงการที่เพิ่มมากขึ้นแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอในอนาคต จึงทำให้ EIC เข้าลงทุนใน ST และ ST เองก็มีทางเลือกใหม่ ๆ ที่จะทำให้การชำระเงินทางด้านการคมนาคม และเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งเป็นการตอบสนองแนวทางของภาครัฐและเอกชนในการเพิ่มความสามารถและประสิทธิในการให้บริการประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
นอกเหนือจากวิธีมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสด (DCF) ข้างต้น ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท แคปปิตอล ลิ้ง แอ๊ดไวเซอรรี่จำกัด ได้ประเมินมูลค่าด้วยวิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) โดยใช้ประมาณการกำไรสุทธิของ ST ปี 2556 ที่ 41.59 บาทต่อหุ้น คูณด้วย P/E Ratio เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกับ ST จำนวน 6 บริษัทที่ 11.45 เท่า ได้มูลค่าหุ้น 476.21 บาท ต่ำกว่าวิธี DCF ร้อยละ 5 คณะกรรมการจึงเลือกใช้วิธี DCF ในการตัดสินใจอนุมัติลงทุนเนื่องจากที่ปรึกษาทางการเงินให้ความเห็นว่าเป็นวิธีที่ได้วิเคราะห์ถึงการดำเนินงานในอดีตตลอดจนได้คำนึงถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและการทำกำไรของบริษัทในอนาคตตามหลักการดำเนินงานต่อเนื่องซึ่งจะทำให้สะท้อนมูลค่าของบริษัทได้ดีกว่าวิธีอื่น