ต่อมาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2557 บริษัทได้นำส่งงบการเงินฉบับแก้ไขโดยแสดงกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 357 ล้านบาท ซึ่งลดลง 102 ล้านบาท โดยบริษัทชี้แจงว่าเนื่องจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ในงบกำไรขาดทุน) และการรับรู้เงินลงทุนในบริษัทร่วม (งบแสดงฐานะการเงิน) บริษัท อีโอลัส พาวเวอร์ จำกัด (อีโอลัส) บริษัทร่วมร้อยละ 26 โดยอีโอลัส ลงทุนในบริษัท เฟิร์ส โคราช วินด์ จำกัด (FKW) ร้อยละ 60 และบริษัท เค อาร์ ทู จำกัด (KR2) ร้อยละ 60 นั้น DEMCO จะต้องรับรู้ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) ตามสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 26 ในอีโอลัสจากเฉพาะส่วนที่อีโอลัสซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่มีส่วนได้เสียตามสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 60 ใน FKW และ KR2 ในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมและงบแสดงสถานะการเงินรวมของบริษัทร่วม (รับรู้ร้อยละ 26 คูณด้วยร้อยละ 60 ใน FKW และ KR2)
แต่ในงบการเงินที่บริษัทได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 บริษัทได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรขาดทุนจากเงินลงทุนในอีโอลัสมากเกินไปเพราะได้รวมส่วนได้เสียทั้งส่วนของบริษั ทใหญ่ (ร้อยละ 26 คูณด้วยร้อยละ 60 ใน FKW และ KR2) และส่วนที่ไม่มีอำนาจควบคุม (ร้อยละ 26 คูณด้วยร้อยละ 40 ใน FKW และ KR2) หรือรับรู้ร้อยละ 26 คูณด้วยร้อยละ 100 ของ FKR และ KR2 รายละเอียดปรากฎตามข่าว SETSMART วันที่ 4 เมษายน 2557 นั้น
เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างครบถ้วน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้บริษัทชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ 1.เหตุผลที่บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและรับรู้เงินลงทุนในบริษัทร่วม (อีโอลัส) มากเกินไป ซึ่งส่งผลให้บริษัทแสดงกำไรสุทธิในงบการเงินประจำปี 2556 สูงเกินไป 102 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.22 ของกำไรสุทธิที่แสดงไว้เดิม
2.บริษัทมีการลงทุนในบริษัทร่วมทั้ง 3 บริษัทตั้งแต่เมื่อใด และเหตุใดจึงมีการแก้ไขการบันทึกส่วนแบ่งกำไรในบริษัทร่วมดังกล่าวเฉพาะปี 2556 เท่านั้น 3.การปรับปรุงรายการดังกล่าวมีผลกระทบต่องบการเงินฉบับก่อนหน้าปี 2556 ที่ได้มีการนำส่งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯและเผยแพร่ต่อผู้ลงทุนหรือไม่ อย่างไร และมีแนวทางแก้ไขผลกระทบดังกล่าวอย่างไร
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ DEMCO ชี้แจงข้อมูลดังกล่าวภายในวันที่ 9 เมษายน 2557 และขอให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินของบริษัทด้วยความระมัดระวังเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน