เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน กำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้น 2% เป็นผลมาจากในไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากเอสซีจี การลงทุน ซึ่งชดเชยผลการดำเนินงานของทุกธุรกิจที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนได้ เอสซีจีมี EBITDA ในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากเอสซีจี การลงทุน และจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ และมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน
ส่วนผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกของปี 57 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 246,560 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกธุรกิจในเอสซีจี โดยเอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 16,913 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 56 ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง
ธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 57 มีรายได้จากการขาย 21,361 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ในไตรมาสที่สองของปี 57 มีรายได้จากการขาย 11,100 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการขายที่เพิ่มขึ้นของ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกรายใหญ่สุดของเวียดนาม คอนกรีตผสมเสร็จในเมียนมาร์ และปูนซีเมนต์ในกัมพูชา
ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 มูลค่า 76,811 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 17 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท โดยสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 มีมูลค่า 462,386 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/57 แยกตามรายธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 46,378 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำของเวียดนาม และการรับรู้รายได้ของบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด ตั้งแต่ไตรมาสที่สาม ปี 2556 แต่ลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,445 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน
เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 64,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,259 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการปันกำไรในบริษัทย่อยไปให้ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมมากขึ้น ส่วนต่างราคา PVC-EDC/C2 ลดลงค่อนข้างมาก และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง
เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 15,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของสายธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ แต่ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่ลดลงของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ มีกำไรสำหรับงวด 887 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 29 จากไตรมาสก่อน
ขณะที่สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA products and services) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรกของปีนี้ เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 84,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม ขณะที่สินค้า SCG eco value มียอดขาย 74,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 30 ของยอดขายรวม
“เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกชะลอตัวลง และคาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงไตรมาสที่สาม แต่ด้วยความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของภาคประชาชนและธุรกิจ ประกอบกับทิศทางการส่งออกที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวกลับคืนมาได้ในไตรมาสสุดท้าย และจะเห็นผลชัดเจนในปี 58 ทั้งนี้ เอสซีจี ได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นขยายการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกในไตรมาส 2/57 เท่ากับ 37,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่ารายได้จากการส่งออกในปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน"
นอกจากนี้ เอสซีจี ยังเชื่อมั่นว่าในระยะยาวเศรษฐกิจของไทยและอาเซียนจะมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน จึงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังคงเดินหน้าโครงการลงทุนในภูมิภาคตามแผนที่ได้วางไว้ อาทิ โครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ใน สปป.ลาว อินโดนีเซีย เมียนมาร์ และกัมพูชา โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ตามวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 57 มีมูลค่าการลงทุนเท่ากับ 21,534 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนเป็นของเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 55% เอสซีจี เปเปอร์ 26% เอสซีจี เคมิคอลส์ 15% และส่วนงานอื่น 4% โดยคาดการณ์รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนของทั้งปี 57 เป็นเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เอสซีจียังคงมุ่งดำเนินกลยุทธ์ในการขยายการลงทุนในธุรกิจหลักไปยังภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ประมาณการรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนสำหรับปี 57-61 เป็นเงินจำนวน 200,000-250,000 ล้านบาท