ดังนั้นโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ ในปี 57 จึงมีการเปลี่ยนแปลง โดยบริษัทมีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงแหล่งเดียว แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอนจึงส่งผลให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้ออสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น ยอดขายของบริษัทเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจึงลดลง
ทั้งนี้ ลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัทในปัจจุบัน บริษัท ซึ่งเดิมชื่อ บมจ. บางกอกไนล่อน (BNC) ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงเท้า บริษัทฯ มีผลขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยสาเหตุจากค่าใช้จ่ายในการผลิตและค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับการแข่งขันที่รุนแรง จึงส่งผลให้บริษัทฯหยุดการผลิตชั่วคราวเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2555 และประกาศเลิกจ้างพนักงานตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2556
ต่อมานายปรเมษฐ์ รังรองธานินทร์ ได้ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯจากผู้ถือหุ้นเดิมผ่านกระดานซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) รวมทั้งสิ้น 9,031,057 หุ้น ในราคาหุ้นละ 19.40 บาท (มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 10 บาทต่อหุ้น) หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 68.57 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ และนายปรเมษฐ์ จัดทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ส่วนที่เหลือทั้งหมดของบริษัทฯ จากผู้ถือหุ้นระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2556 ในราคาหุ้นละ 19.40 บาท เป็นผลให้นายปรเมษฐ์ถือหุ้นรวมทั้งสิ้นจำนวน 11,541,640 หุ้น (มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 10 บาทต่อหุ้น) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 87.64 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ
ต่อมานายปรเมษฐ์ ได้มีการจำหน่ายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯระหว่างวันที่ 11 มิถุนายน - 8 กรกฎาคม 2557 จำนวน 10,465,900 หุ้น ในราคาเฉลี่ยระหว่าง 3.84 - 18.98 บาท ต่อหุ้น (มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 1 บาทต่อหุ้น) ปัจุบันนายปรเมษฐ์ รังรองธานินทร์ได้ถือหุ้นบริษัทฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน 104,950,500 หุ้น (มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 1 บาทต่อหุ้น)คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 79.69 ของบริษัทฯ
และ ได้เปลี่ยนแปลงการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ จากเดิมประกอบธุรกิจสิ่งทอ มาเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยได้ลงทุนซื้อห้องชุดโครงการอาคารชุดบ้านนวธารา รีเวอร์ไลฟ์ ตั้งอยู่ซอยประเสริฐมนูญกิจ 33 ถนนประเสริฐมนูญกิจ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ จำนวน 19 ยูนิต มูลค่ารวม 29.23 ล้านบาท เพื่อทำให้บริษัทฯ มีรายได้เข้ามาในระยะสั้น และระยะกลาง ส่งผลให้บริษัทฯทยอยรับรู้รายได้เมื่อมีการขาย และโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด
ปัจจุบันบริษัทฯ ได้โอนห้องชุดให้กับลูกค้าแล้วทั้งหมดจำนวน 7 ยูนิต มูลค่าประมาณ 18 ล้านบาท และที่รอโอนกรรมสิทธิให้กับผู้ซื้ออีกจำนวน 5 ยูนิต โดยคาดว่าจะทะยอยโอนกรรมสิทธิให้ลูกค้าได้ภายในปี 57 คงเหลือที่อยู่ระหว่างการจำหน่ายจำนวน 7 ยูนิต คาดว่าจะจำหน่ายได้หมดภายในปี 57 นอกจากนั้นบริษัทฯ ได้ลงทุนซื้อห้องชุดโครงการบ้านสาทร เจ้าพระยา ตั้งอยู่ที่ซอยเจริญนคร 15A ถนนเจริญนคร แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ จำนวน 9 ยูนิต เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มูลค่าประมาณ 104.66 ล้านบาท ปัจจุบันได้โอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าแล้วจำนวน 1 ยูนิต ในราคาประมาณ 13 ล้านบาท คงเหลือ 8 ยูนิต และคาดว่าจะจัดจำหน่ายได้หมดภายในปี 2558
นอกจากนั้นบริษัทฯ อยู่ระหว่างการวางแผนที่จะเปิดธุรกิจใหม่ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะเริ่มได้ในไตรมาสที่ 4 ของปี 57 โดยบริษัทฯ ได้มีการแถลงเกี่ยวกับธุรกิจ และแนวทางการทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทฯ ต่อผู้ถือหุ้นในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2557 และได้มีการให้ข่าวเกี่ยวกับแนวคิดทางธุรกิจในสัปดาห์ต่อมา
รูปแบบของธุรกิจจะเป็นห้างสรรพสินค้าออนไลน์ที่สามารถโอนคะแนนสะสมจากบัตรเครดิตของสถาบันการเงินต่างๆ มารวมกันในบัตร abcpoint ที่เดียวเพื่อใช้แลกซื้อสินค้าและบริการ เช่น บัตรชมคอนเสิร์ต ตั๋วเครื่องบิน สินค้า IT และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น โดยทำรายการผ่าน www.abcpoint.com โดยมีจุดเด่นที่สามารถเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้บริโภคในการรวบรวมคะแนนจากบัตรเครดิตต่างๆเพื่อสร้างมูลค่าได้ ทั้งนี้บริษัทฯ จะได้รับเงินสดจากสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการเมื่อลูกค้าได้ทำการโอนคะแนนบัตรเครดิตมาที่บริษัทฯ และบริษัทฯจะรับรู้รายได้ต่อเมื่อลูกค้าใช้คะแนนของบริษัทฯ แลกซื้อสินค้า และบริการต่อไป
ในระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการพัฒนาความพร้อมของการดำเนินงานทางด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ ด้านความพร้อมทางอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทได้ทำการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ความพร้อมทางการรวมกลุ่มพันธมิตรบัตรเครดิต บริษัทได้ดำเนินการขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินต่างๆ โดยมี บมจ.บัตรกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงเทพ ได้ให้ความร่วมมือกับทางบริษัท ส่วนธนาคารอื่นยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
ความพร้อมทางการตลาด บริษัทฯ ได้ติดต่อกับผู้ประกอบการสินค้าและบริการต่างๆ รวมถึงความพร้อมในการทำสัมมนากับคู่ค้าที่ต้องการฝากขายสินค้าบน www.abcpoint.com ในวันที่ 16 กันยายน 2557 ที่สยามภาวลัย สยามพารากอน
สำหรับที่มาของรายการกำไรจากการขายสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขายจำนวน 201.36 ล้านบาท มาจากการที่บริษัทฯ ได้ทำการขายที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างโรงงาน ตั้งอยู่ที่เลขที่ 7 ซอยลาดปลาเค้า 71 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 16-1-17 ไร่ มูลค่า 220 ล้านบาท ให้กับบริษัท บีเอ็นซี เรียลเอสเตท จำกัด เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 โดยบริษัทฯ กำหนดราคาจากการเจรจาต่อรองกับผู้ซื้อ ซึ่งอ้างอิงจากราคาประเมินจากผู้ประเมินราคาอิสระ 3 ราย
สาเหตุที่บริษัทฯ ขายสินทรัพย์ดังกล่าวเนื่องจากบริษัทฯ เลิกผลิตสินค้าตั้งแต่ปี 2556 จึงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว บริษัทฯ ได้นำเงินจากการจำหน่ายทรัพย์สินไปชำระหนี้สถาบันการเงินจำนวน 30 ล้านบาท ชำระคืนเงินกู้ยืมกรรมการจำนวน 33 ล้านบาท ซึ้อห้องชุดโครงการบ้านสาทร เจ้าพระยาจำนวน 105 ล้านบาท และที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียน
ABC ยังชี้แจงอีกว่าเหตุผลที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารในงบการเงินงวด 6 เดือนปี 2557 จำนวน 15.62 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 9.54 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63.80% ในขณะที่มีรายได้จากการขายลดลงจาก 55.63 ล้านบาทเหลือเพียง 7.05 ล้านบาทหรือลดลง 87.33% เกิดจากการเปลี่ยนแปลงธุรกิจจากสิ่งทอเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มขึ้น เนื่องจากการที่บริษัทฯ จัดโครงสร้างองค์กรและแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบริหารงานรวมถึงค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาหลายด้านโดยเฉพาะที่ปรึกษาทางการเงิน เช่น ที่ปรึกษาการเงินอิสระในการให้ความเห็นของการได้มาหรือจำหน่ายไปของสินทรัพย์ และที่ปรึกษาด้านการตลาด เพื่อทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านสารสนเทศ
ในขณะที่รายได้จากการขายซึ่งมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มดำเนินการได้เมื่อปลายปี 2556 และบริษัทฯ ได้ลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มในเดือนพฤษภาคม 2557 ทำให้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตไม่มากในงวด 6 เดือนแรก อย่างไรก็ตามบริษัทฯ กำลังดำเนินการด้านการตลาดเพื่อเร่งยอดขายในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อไป