ส่วนโครงการที่เหลืออีกประมาณ 14 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการพัฒนาและคาดว่าจะก่อสร้างและจำหน่ายไฟฟ้าได้ในปี 57 นี้
"การมุ่งลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ ก็เพื่อสานต่อปณิธานของคณะกรรมการบริษัทฯ ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ ก่อให้เกิดรายได้และกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ซึ่งสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคงในอนาคต สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว โดยคาดว่าจะเห็นความคืบหน้าของธุรกิจและเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/57 เป็นต้นไป"นายอนาวิล กล่าว
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นขนาด 18 เมกะวัตต์ บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัท พรีเมียร์ โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย พัฒนาโครงการอย่างครบวงจรทั้งการจัดหาที่ดิน ใบอนุญาตต่างๆ ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายไฟฟ้า แผงพลังงานแสงอาทิตย์ ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ และการก่อสร้างที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โครงการนี้ มีใบอนุญาตขายไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่การไฟฟ้าฯ ของประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว ที่ราคา 40 เยนต่อหน่วย เป็นเวลา 20 ปี
นายอนาวิล กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานทดแทนในตลาดญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว หลังจากพบว่ายังมีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากโครงการพลังงานทดแทนอีกมากกว่า 29,000 เมกะวัตต์ และบริษัทฯ มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้เป็นอย่างดี โดยขณะนี้ได้ก่อตั้งสำนักงานในประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้วเพื่อให้การขยายธุรกิจเป็นไปอย่างคล่องตัว
ที่ผ่านมาได้ดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศญี่ปุ่นใน 3 รูปแบบ คือลงทุนด้วยตัวเองผ่านบริษัทย่อย โดยเริ่มเฟสแรกที่ขนาด 18 เมกะวัตต์ดังกล่าว ส่วนรูปแบบที่สองพัฒนาโครงการเพื่อขายให้กับพันธมิตร ซึ่งขณะนี้ได้พัฒนาโครงการแรกขนาด 23 เมกะวัตต์ ให้กับบมจ. โรงพิมพ์ตะวันออก (EPCO) ผ่านบริษัท พรีเมียร์ โซลูชั่น จำกัด (PSCL) และรูปแบบที่สามร่วมลงทุนกับพันธมิตร โดยล่าสุดได้ลงนามจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับกลุ่มบมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระยะแรก 2 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 33 เมกะวัตต์ และหลังจากนี้จะเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องพร้อมกันทั้ง 3 รูปแบบ ซึ่งจะเห็นความคืบหน้าในไม่ช้านี้