นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บมจ. แพลน บี มีเดีย (PLANB) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน ตลท. ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 โดย PLANB ดำเนินธุรกิจให้บริการและรับจ้างผลิตสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย(Out of Home Media) 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ สื่อโฆษณาบนระบบขนส่งมวลชน สื่อโฆษณาภายในห้างสรรพสินค้า และสื่อโฆษณากลางแจ้ง ครอบคลุมพื้นที่ที่สำคัญทั่วกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ด้วยนวัตกรรมสื่อโฆษณาที่ทันสมัย และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้สื่อโฆษณาของบริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
PLANB มีทุนชำระแล้ว 349.50 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 2,597.40 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 897.60 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไป (IPO)874.20 ล้านหุ้น และต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานบริษัทฯ 23.40 ล้านหุ้น ในราคาเดียวกันที่หุ้นละ 2.00 บาท เมื่อวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2558 มีมูลค่าระดมทุน 1,795.22 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แพลน บี มีเดีย (PLANB) เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนใน ตลท. ครั้งนี้จะช่วยเสริมให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเพิ่มความสามารถในการนำเสนอนวัตกรรมสื่อที่ทันสมัยอยู่เสมอ ตลอดจนเพิ่มปริมาณสื่อให้มีความหลากหลายครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยจะนำเงินที่ได้ไปขยายสื่อโฆษณาที่เป็นนวัตกรรมใหม่หลายประเภท ชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาว และนำไปใช้เป็นเงินหมุนเวียนและขยายธุรกิจในอนาคตเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทต่อไป
PLANB มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ ประกอบด้วย นายปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ นางสาวอภิรดี โอภาสเอี่ยมลิขิต และบริษัทในกลุ่ม ถือหุ้นรวม 51% พีที อีลัง มาโคตา เทคโนโลยี ทีบีเค ถือหุ้น 11.3% และ กลุ่มนายพินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ ถือหุ้น 11.4% ทั้งนี้ การกำหนดราคา IPO ทำโดยวิธี book building ที่ช่วงราคา 1.8 - 2.0 บาทต่อหุ้น และได้กำหนดราคาเสนอขายที่ 2.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio ) 37.12 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสย้อนหลัง (1 ตุลาคม 2556 - 30 กันยายน 2557)หารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายต่อประชาชนในครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.05 บาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองตามที่กฎหมายกำหนด