นอกจากนี้ การได้มาของหุ้น KC จำนวน 514,155,500 หุ้น ในราคาหุ้นละ 2.61 บาทนั้น ไม่ได้เป็นไปตามสัญญาซื้อขายหุ้นฉบับลงวันที่ 10 ม.ค.58 แต่เป็นการได้มาตามบันทึกข้อตกลงที่ได้จัดทำขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 10 ก.พ.58 ซึ่งเป็นการโอนกันนอกตลาดหลักทรัพย์ โดยเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ได้มีการโอนหุ้น 172,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 2.61 บาท มูลค่า 448.92 ล้านบาท มีภาระภาษีเกิดขึ้น 94.74 ล้านบาท โดยกลุ่มผู้ขายและผู้ซื้อรับภาระคนละครึ่ง
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ได้มีการโอนหุ้นจำนวน 342,155,500 หุ้น ในราคาหุ้นละ 2.61 บาท มูลค่า 893.02 ล้านบาท มีภาระภาษีเกิดขึ้น 189.75 ล้านบาท โดยผู้ซื้อเป็นผู้รับภาระภาษีแต่เพียงฝ่ายเดียว
ด้าน KC ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การโอนหุ้นตามสัญญาซื้อขายลงวันที่ 10 ม.ค.58 ไม่ได้โอนตามวิธีการที่กำหนดในสัญญาเนื่องจากการทำรายการ Big Lot ของผู้ซื้อไม่เข้าเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯจึงไม่ได้รับการอนุมัติให้ทำรายการ Big Lot จากตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงซื้อขายกันนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีภาระภาษีเกิดขึ้น แต่การซื้อขายและการโอนก็ถือว่าเป็นไปตามสัญญาซื้อขายลงวันที่ 10 ม.ค.58
ขณะที่เมื่อวานนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้หยุดพักการซื้อขายหุ้น KC หลังนายภัทรภพได้ยื่นแบบประกาศปฎิเสธการทำคำเสนอซื้อหุ้น KC ตามที่ได้เคยประกาศเจตนาไว้ซึ่งสารสนเทศดังกล่าวมีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนใน หลักทรัพย์ KC ซึ่งตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างสอบถามและยังไม่ได้รับคำชี้แจงจากบริษัท
สืบเนื่องจาก KC ได้แจ้งว่านายชาย งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการและผู้ถือหุ้นใหญ่ และกลุ่มผู้ถือหุ้นรายอื่นของ KC ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นจำนวน 514,155,500 หุ้น คิดเป็น 58.76 % ของทุนชำระ กับนายภัทรภพ โดยผู้ซื้อจะซื้อหุ้นจาก ผู้ขายภายใน 60 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาซื้อขาย (ภายใน 9 มีนาคม 2558) โดย KC ได้รับแจ้งข้อมูลจากนายภัทรภพว่าเมื่อได้ทำการซื้อหุ้นตามสัญญาแล้วจะทำคำเสนอซื้อหุ้น KC ส่วนที่เหลือทั้งหมด ซึ่งต่อมาวันที่ 11 มีนาคม 2558 KC ได้รับแจ้งจากนายชาย งามอัจฉริยะกุล ว่านายชายและกลุ่มผู้ถือหุ้นรายอื่นได้ขายหุ้นจำนวนดังกล่าวให้กับนายภัทรภพแล้ว (รายละเอียดปรากฎตามข่าว KC เมื่อวันที่ 12 ,14 มกราคม 2558 และ 11 มีนาคม 2558)