TAKUNI คาดปี 58 กำไรโตกว่า 100% แก้เกมขายก๊าซหด/เล็งสรุปลงทุนโรงไฟฟ้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 24, 2015 16:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวนิตา ตรีวีรานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทาคูนิกรุ๊ป(TAKUNI) คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตกว่า 100% จาก 27.18 ล้านบาทในปี 57 หลังจากที่บริษัทหันมาเน้นรับงานก่อสร้างที่ให้อัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูง โดยล่าสุดเข้าร่วมทุนในบริษัท ซี เอ แซด (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการรับเหมาก่อสร้างธุรกิจ oil&gas ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มากเป็นพิเศษ ซึ่ง TAKUNI เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 47.72% จึงเชื่อว่าจะทำให้สัดส่วนกำไรจากธุรกิจก่อสร้างในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 60-70% ของกำไรทั้งหมด

บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.21 พันล้านบาทในปี 57 แม้ว่าการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ในปัจจุบันจะมียอดขายค่อนข้างต่ำลง เพราะได้รับผลกระทบอย่างมีนับสำคัญจากสถานการณ์ราคาน้ำมันตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานีบริการของลูกค้าหลายรายปิดตัวลง โดยเฉพาะรายเล็กที่มีขนาดน้อยกว่า 50 ตัน

อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทหันไปเน้นการขยายงานด้านก่อสร้างที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 15-20% เมื่อเทียบกับการจำหน่ายก๊าซที่มีกำไรเพียง 5-6% จึงส่งผลดีต่อกำไรโดยตรง ซึ่งขณะนี้มีงานในมือ(backlog)สำหรับงานก่อสร้างแล้ว 280 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดในปีนี้ โดยมีงานรับเหมาก่อสร้างคลังจัดเก็บก๊าซฯ มูลค่ากว่า 165 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้าง และเริ่มรับรู้รายได้นับจากไตรมาส 2/58 นอกเหนือจากงานสร้างคลังก๊าซฯโครงการแรกที่จะเริ่มรับรู้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้อีกประมาณ 10 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการ 137 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ บริษัทยังเตรียมเข้าประมูลงานเพิ่มเติมมูลค่ามากกว่า 700 ล้านบาท แบ่งเป็นงานรับเหมาก่อสร้างคลังจัดเก็บก๊าซฯ และงานปรับปรุงคลังก๊าซฯที่บางจะเกร็ง

นางสาววนิตา กล่าวว่า บริษัทยังได้ศึกษาลงทุนในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการลงทุนด้านพลังงานทดแทนที่ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาถึงความเป็นไปได้ และมองหาที่ปรึกษาทางการเงิน(FA)เพื่อขยายธุรกิจพลังงาน เบื้องต้นมีแนวโน้มจะเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องอยู่แล้ว มากกว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เอง เพื่อทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ที่มีเข้ามาได้ทันที

ทั้งนี้ บริษัทมีความสนใจจะเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 8 เมกะวัตต์(MW) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปีนี้ เบื้องต้นมีแนวโน้มที่จะเป็นการเข้าไปซื้อกิจการ โดยวางงบลงทุนไว้ที่ 600-900 ล้านบาท และสามารถกู้เพิ่มได้อีก เนื่องจากปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุน(D/E) ที่ระดับ 0.5 เท่า และหากการซื้อกิจการประสบความสำเร็จก็จะส่งผลต่อกำไรของบริษัทให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ