INTUCH แจ้งว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นในนามของบริษัทย่อย คือ บริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด ซึ่งในวันนี้ได้ลงนามสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นกับฮุนได โฮมช็อปปิ้ง เพื่อตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าว ขณะที่ฮุนได โฮมช็อปปิ้ง เป็นบริษัทโฮมช็อปปิ้งชั้นนำและมีชื่อเสียงในเกาหลี ซึ่งประสบความสำเร็จทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ เช่น จีน เวียดนาม เป็นต้น
สำหรับบริษัทร่วมทุนใหม่ ไฮ ช็อปปิ้ง จะมีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดย INTUCH จะถือหุ้น 51% และ ฮุนได โฮมช็อปปิ้ง ถือหุ้น 49% เพื่อประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านสื่อหลากหลายช่องทาง เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต สิ่งพิมพ์ แคตตาล็อก และสื่ออื่นๆ
การลงทุนครั้งนี้จะเป็นการสร้างรายได้ใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจปัจจุบันและอนาคตของกลุ่มอินทัช ที่จะขยายไปสู่ธุรกิจใหม่อื่นๆ เช่น ธุรกิจมีเดีย ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจอีเพย์เม้นต์ เป็นต้น รวมทั้งก่อให้เกิด synergy กับกลุ่มอินทัชและเป็นการขยายการลงทุนที่จะทำให้กลุ่มอินทัชมีการเติบโตมากขึ้น
สำหรับการลงทุนในส่วนของกลุ่มอินทัช จะใช้เงินลงทุนประมาณ 255 ล้านบาท ซึ่งจะชำระเป็นเงินสด โดยแบ่งเป็น 2 งวด ซึ่งอินทัช มีเดีย จะชำระงวดแรกจำนวน 127.50 ล้านบาทภายใน 30 วันนับจากวันที่ลงนามในสัญญา และงวดที่สองจะชำระตามการเรียกให้ชำระทุนชำระแล้วเพิ่มเติมของไฮ ช็อปปิ้ง ซึ่ง INTUCH จะนำเงินทุนหมุนเวียนมาชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ อินทัช มีเดีย ซึ่งจะเพิ่มทุนจำนวน 25.5 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นเงิน 255 ล้านบาท
นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มอินทัช กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคมองหาช่องทางการจับจ่ายสินค้าที่สะดวก เข้าถึงง่ายมากขึ้น เช่น โฮมช็อปปิ้ง โฮมดิลิเวอรี่ และอีคอมเมิร์ซ ซึ่งการลงทุนในธุรกิจใหม่ด้านโฮมช็อปปิ้งครั้งนี้จะช่วยสร้างประโยชน์และต่อยอดธุรกิจด้านดิจิตอลคอนเทนต์ อันจะส่งเสริมศักยภาพให้กลุ่มอินทัชเติบโตอย่างเข้มแข็งต่อไป
"เราจึงเล็งเห็นว่าธุรกิจโฮมช็อปปิ้งในประเทศไทยจะเติบโตอย่างมาก การลงทุนในธุรกิจใหม่คือโฮมช็อปปิ้งนี้ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจทางด้านดิจิตอลคอนเทนต์ที่นำเสนอให้ผู้บริโภคเข้าถึงรายละเอียดของสินค้าและบริการโดยใช้สื่อทีวี โทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต และสามารถใช้โครงข่ายของกลุ่มอินทัชได้ไม่ว่าจะเป็นโครงข่ายโทรคมนาคม โครงข่ายดาวเทียม อินเตอร์เน็ต บรอดแบนด์ความเร็วสูง เป็นต้น"นายสมประสงค์ กล่าว
นายสมประสงค์ กล่าวว่า บริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง จำกัด จะนำสินค้าชั้นนำจากประเทศเกาหลีและสินค้าต่างประเทศอื่นๆ ที่ครอบคลุมทุกประเภททั้งเครื่องครัว เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแฟชั่น ฯลฯ โดยผู้บริโภคสามารถเลือกสินค้าได้ทั้งผ่านหน้าจอทีวี โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต และสื่อต่างๆ
ด้านนายชาน ซุก คัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ฮุนได โฮมช็อปปิ้ง เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การลงทุนในประเทศไทยเพราะมองเห็นว่าตลาดโฮมช็อปปิ้งในประเทศไทยน่าสนใจและมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมาก ประกอบกับอินทัช เป็นบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพและมีปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนธุรกิจโฮมช็อปปิ้งได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการมีแพลตฟอร์มทีวีดาวเทียม เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ โครงข่ายบรอดแบนด์ความเร็วสูง เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง จำกัด คาดว่าจะเปิดตัวช่องรายการได้ในไตรมาส 4/58 ด้วยสินค้าคุณภาพชั้นนำของบริษัท ฮุนได โฮมช็อปปิ้งที่เลือกสรรมาเป็นพิเศษโดยผ่านช่องทางการขายที่หลากหลายและการบริการที่เป็นเลิศด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ถือเป็นมิติใหม่ของธุรกิจโฮมช็อปปิ้งในเมืองไทยอย่างแน่นอน คาดว่าจะเปิดตัวช่องรายการได้ในไตรมาส 4/58 ด้วยสินค้าคุณภาพที่คัดสรรมาเป็นพิเศษทั้งในประเทศและต่างประเทศ
INTUCH ตั้งเป้าหมายให้ ไฮ ช็อปปิ้ง ติดอันดับ TOP3 ในระยะเวลาอันใกล้นี้ และก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโฮมช้อปปิ้งในประเทศไทยในระยะเวลา 5 ถึง 6 ปี โดยจะถึงจุดคุ้มทุนได้ภายใน 4 ปี และคืนทุนได้ภายใน 5 ปี ซึ่งบริษัทจะต้องมีการลงทุนสร้างสตูดิโอและลงทุนระบบไอที รวมถึงคลังสินค้า เพิ่มเติมเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจใหม่ โดยบริษัทฯมีความพร้อมด้านการลงทุน ที่ไม่มีขีดจำกัด เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่ดีมาโดยตลอด
"การลงนามในวันนี้จะเป็นส่วนที่อยู่ภายใต้ของดิจิตอลคอนเทนท์ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจใหม่ของบริษัทเติบโตได้อย่างมีนัยยะสำคัญในอนาคต โดยบริษัทฮุนไดโฮมช็อปปิ้ง เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศเกาหลีที่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศเกาหลีและต่างประเทศ อย่างจีน เวียดนาม เห็นได้จากปัจจุบัน ฮุดได มียอดขายราว 12 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี อย่างไรก็ตามมูลค่าตลาดโฮมช้อปปิ้งในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 7000-10,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจากการร่วมทุนจะส่งผลให้มูลค่าตลาดเติบโตขึ้นอย่างมาก"
นอกจากนี้บริษัทยังคงขยายการลงทุน ในธุรกิจอื่นๆภายใต้การลงทุนในธุรกิจร่วมลงทุน (Venture Capital) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจด้านสื่อและดิจิตอล คอนเทนต์ และให้สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลของรัฐบาล
"เราก็ยังคงมองหาธุรกิจอื่นๆอย่างต่อเนื่องที่จะเข้ามาเสริม ดิจิตอลคอนเทนท์ ขณะที่การลงทุนด้านดิจิตอลทีวี ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างศึกษาของการเข้าซื้อกิจการช่องทีวีดิจิตอล จากผู้ประกอบที่ได้รับใบอนุญาตแต่ไม่สามารถดำเนินกิจการได้ เราก็จะเข้าไปซื้อมาดำเนินการต่อ ซึ่งก็น่าจะเห็นความชัดเจนได้ประมาณ 1 ปีจากนี้"นายสมประสงค์ กล่าว