PTTGC กำไร Q2/58 โต 45% จากงวดปีก่อน ราคาเม็ดพลาสติกสูง-กำไรสต็อกฯหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 7, 2015 15:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC) เผยว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/58 เพิ่มขึ้น 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 59% จากไตรมาสแรก ขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกอยู่ในระดับที่สูง และยังมีกำไรจากสต๊อกวัตถุดิบนำเข้าผลิตและผลิตภัณฑ์จากกลุ่มธุรกิจการกลั่น และกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์อีก 2,326 ล้านบาทช่วยหนุนผลการดำเนินงาน

PTTGC รายงานผลกำไรสุทธิในไตรมาส 2/58 ที่ 8,974 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากกำไรสุทธิ 6,173 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 59%จากกำไรสุทธิ 5,631 ล้านบาทในไตรมาสแรก เนื่องจากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ซึ่งกลับมามีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับปกติที่ EBITDA Margin ร้อยละ 28 จากราคาเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนที่ปรับตัวสูงขึ้นมา (HDPE) เฉลี่ยอยู่ที่ 1,375 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน

ในส่วนของผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการกลั่นและกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์ ปรับตัวอ่อนลงเล็กน้อยตามปัจจัยของตลาด แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ตลาดและราคาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีการทำ optimization อย่างเหมาะสม ในไตรมาสนี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปรับสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 18 มาเฉลี่ยอยู่ที่ 61.30 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่งผลให้บริษัทบันทึกกำไรจากสต๊อกวัตถุดิบนำเข้าผลิตและผลิตภัณฑ์จากกลุ่มธุรกิจการกลั่น 1,420 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์อีก 906 ล้านบาท

สำหรับในไตรมาส 2/58 ผลการดำเนินงานรวมของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/57 และไตรมาส 1/58 โดยโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท สามารถดำเนินการผลิตได้เต็มที่ มีอัตราการใช้กำลังการผลิตของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ(CDU) อยู่ที่ร้อยละ 100 ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1/57 และไตรมาสก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในไตรมาสที่ 2/58

ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซลีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสนี้ เนื่องจากความต้องการที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ในไตรมาส 2/58 บริษัทรายงาน Market GRM จากหน่วย CDU (CDU GRM) ที่ 7.27 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับ CDU GRM ของไตรมาส 2/57 ที่ 5.74 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และปรับตัวลดลงเพียงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 7.97 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

อย่างไรก็ตามเนื่องจากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าทำให้บริษัท รับรู้ผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 1,421 ล้านบาท ทำให้ในไตรมาส 2/58 บริษัทมีกำไรขั้นต้นทางบัญชี (Accounting GRM) ในส่วนของโรงกลั่นอยู่ที่ 7.59 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/57 และ 1/58

สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2/57 โดยกำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ หรือ P2F Margin ในไตรมาส 2/58 อยู่ที่ 216 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/57 ร้อยละ 150 สาเหตุสำคัญมาจากต้นทุนราคาพลังงานที่ใช้ในระบบและส่วนที่สูญหาย (fuel used and loss) มีมูลค่าลดลงตามราคาคอนเดนเสทที่ปรับตัวลดลง ร้อยละ 42 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/58 ผลการดำเนินงานของกลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดย P2F Margin ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 219 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน เป็น 216 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน หรือลดลงร้อยละ 1 โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงร้อยละ 3 แม้ว่าส่วนต่าง(สเปรด) ราคาพาราไซลีนกับวัตถุดิบคอนเดนเสท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 และส่วนต่างราคาเบนซีนกับวัตถุดิบคอนเดนเสทปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 อย่างไรก็ตามการปรับตัวลดลงของส่วนต่างผลิตภัณฑ์พลอยได้อย่างแนฟทา และ LPG กับวัตถุดิบคอนเดนเสทที่ลดลงร้อยละ 25 และร้อยละ 795 ส่งผลให้ P2F Margin ลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย

ส่วนผลการดำเนินงานของกลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ พบว่าอัตรากำไรของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องปรับตัวสูงขึ้น โดย EBITDA Margin อยู่ที่ร้อยละ 28 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/57 ที่ร้อยละ 25 และไตรมาส 1/58 ที่ร้อยละ 19 อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานในส่วนของกำไรปรับตัวลดลงจากไตรมาส 2/57 สาเหตุมาจากการใช้กำลังการผลิตและปริมาณการขายที่ปรับตัวลดลง

โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 89 ลดลงจากไตรมาส 2/57 ที่ร้อยละ 91 และลดลงจากไตรมาส 1/58 ที่ร้อยละ 96 ในขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ HDPE ปรับตัวลดลงร้อยละ 12 จากไตรมาส 2/57 แต่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 16 ส่งผลให้ในไตรมาส 2/58 กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 8,338 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2/57 ร้อยละ 4 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/58 ร้อยละ 50

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมของบริษัท ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีการเสนอขายหุ้นสามัญแก่พนักงานและประชาชนทั่วไปรวมจำนวน 374.57 ล้านหุ้น ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทใน GPSC ลดลงจากร้อยละ 30.31 เหลือร้อยละ 22.73 ซึ่งผลกระทบจากการเปลี่ยนสัดส่วนดังกล่าว ทำให้บริษัทมีกำไร 432 ล้านบาท โดยรับรู้ในงบกำไรขาดทุนของไตรมาส 2/2558 ทั้งจำนวน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ