ทั้งนี้ T จะร่วมกับฟีโก้ จะร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่(Newco)ในประเทศอังกฤษ ในสัดส่วนเท่ากับ คือฝ่ายละ 50% เพื่อเข้าซื้อหุ้นบริษัท จูปิเตอร์ โฮเต็ลส์ โฮลดิ้ง จำกัด (JHH) ในจำนวน 27,100,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 ปอนด์ คิดเป็นสัดส่วน 100% ของทุนที่ชำระแล้ว มูลค่ารวมประมาณ 77.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 4,314.43 ล้านบาท (อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2558 ซึ่งเท่ากับ 55.67 บาทต่อปอนด์) จาก (1) Patron Jupiter Holding S.a.r.l ซึ่งถือหุ้นทางอ้อมโดย Patron Capital LP.III และ (2) West Register Hotels (Holdings) Limited ซึ่งถือหุ้นโดย Royal Bank of Scotland (รวมเรียกว่า ผู้ขาย) ซึ่งถือเป็นรายการได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัท (การเข้าลงทุนในกิจการโรงแรมในประเทศอังกฤษ)
ในการเข้าลงทุนในกิจการโรงแรมในอังกฤษนั้น เพื่อให้ JHH ปราศจากหนี้กู้ยืมเงินจากบุคคลภายนอก บริษัทและ FICO มีแผนที่จะดำเนินการให้บริษัทที่จัดตั้งใหม่กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินราว 82.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 4,592.78 ล้านบาท และให้บริษัทจัดตั้งใหม่นำเงินดังกล่าวให้ JHH กู้ยืมเพื่อนำไปจ่ายคืนหนี้เงินกู้ยืมที่ JHH มีกับสถาบันการเงินและผู้ถือหุ้นเดิมไม่เกิน 163.75 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 9,115.96 ล้านบาท
จากข้อตกลงในเบื้องต้นกับผู้ขาย ราคาซื้อขายสินทรัพย์ทั้งหมดซึ่งรวมถึงเงินสำหรับชำระหนี้เงินกู้ยืมที่ JHH มีกับสถานการเงินและผู้ถือหุ้นเดิม รวมเป็นเงินไม่เกิน 160 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ดี เงิน 3.75 ล้านปอนด์ในส่วนที่เกินจาก 160 ล้านปอนด์ บริษัทฯและ FICO จะดำเนินการให้ Newco ใช้เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการเข้าทำรายการนี้ เช่น ค่าที่ปรึกษากฎหมาย และค่าที่ปรึกษาทางการเงินเป็นต้น และในส่วนที่เหลือจะให้ Newco ใช้เงินดังกล่าวเป็นเงินทุนหมุนเวียน
ณ 31 ธ.ค.57 JHH มีสินทรัพย์รวม 7,328.65 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด เท่ากับ 215.11 ล้านบาท JHH ประกอบธุรกิจในรูปแบบ Holding Company ถือถือหุ้นร้อยละ 100 ในริษัท จูปิเตอร์ โฮเต็ลมิคโค จำกัด (JHMC) ในขณะที่ JHMC จะถือหุ้นในบริษัท จุปิเตอร์ โฮเต็ลส์ จำกัด (JH) ร้อยละ 100 โดย JH ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านโรงแรม และเป็นเจ้าของโรงแรมที่อยู่ในอังกฤษจำนวน 26 แห่ง (ทางตรง 25 แห่ง และทางอ้อม 1 แห่ง) มีจำนวนห้องพักรวม 2,883 ห้อง มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในปี 2557 ที่ร้อยละ 66 (เพิ่มขึ้นจากปี 2555-2556 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 61 และร้อยบะ 65 ตามลำดับ)
กลุ่มโรงแรมของ JHH อยู่ภายใต้การบริหารงานโดยกลุ่มแอคคอร์(ACCOR)ภายใต้แบรนด์เมอร์เคียว โดยมีอายุสัญญาจนถึงปี 2574 โดยโรงแรมจำนวน 20 แห่ง อยู่บนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินของ JHH ส่วนอีก 6 แห่ง อยู่ภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว (ไม่น้อยกว่า 30 ปี)
บริษัทฯ คาดว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับนั้น จะทำให้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงแรม ซึ่งจัดเป็นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทสามารถใช้ความรู้ความสามารถจากการบริหารงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในการพัฒนาการจัดระบบโครงสร้างและดูแลธุรกิจโรงแรมได้ไม่ยาก เป็นการกระจายความเสี่ยงไปสู่การลงทุนในธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ จากเดิมที่มีเพียงการดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทยเท่านั้น โดยบริษัทฯจะรับรู้ผลการดำเนินงานที่ดีจากการลงทุนใน JHH ตามสัดส่วนการถือหุ้น 50% เนื่องจาก JHH มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และจากการที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมที่บริษัทจะลงทุนมีจำนวน 26 โรงแรม ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพของบริษัทในการนำพาธุรกิจโรงแรมเข้ามาจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REIT)ในอนาคต โดยสามารถขายหรือโอนกรรมสิทธิ์โรงแรมของ JHH ที่ถือยู่เข้า REIT เป็นการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่บริษัท และผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจจะถือได้ว่าบริษัทเป็นผู้พัฒนาความคิดแรกที่จะนำพาธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศเข้ามาทำกองทรัสต์ในประเทศไทย
สำหรับแหล่งเงินที่ใช้นั้นบริษัทฯจะชำระเป็นเงินสดจำนวนไม่เกิน 20 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,113.40 ล้านบาท โดยบริษัทจะใช้เงินลงทุนจำนวนดังกล่าวจากการเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวน 30 ล้านหุ้น ในราคา 0.10 บาท ต่อหุ้น โดยได้เสนอขาย เมื่อวันที่ 10 ส.ค.-7 ต.ค. 58 ซึ่งคาดว่าจะได้รับเงินจากการเพิ่มทุนทั้งสิ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนอีก 120 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 6,680.4 ล้านบาท จะมาจากเงินกู้ธนาคาร โดยผู้กู้คือ บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ร่วมกันระหว่างบริษัท และ FICO โดยใช้หุ้น และทรัพย์สินของ JHH เป็นหลักประกัน
คณะกรรมการบริษัทกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 4/58 ในวันที่ 5 ต.ค.58 เวลา 10.00 น.