(เพิ่มเติม) GL ให้ บ.ย่อยตั้งกิจการร่วมค้าในอินโดฯ ทำธุรกิจ Multi Finance ถือ 65%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 8, 2015 11:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายดีพงศ์ สหะชาติศิริ กรรมการ บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) แจ้งว่า มติของคณะกรรมการบริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์ Group Lease Holdings Pte. Ltd. ซึ่งอนุมัติให้บริษัทจัดตังกิจการร่วมค้าในประเทศอินโดนีเซียภายในไตรมาส 3/58 โดย Group Lease Holdings Pte. Ltd. ถือหุ้นร้อยละ 65 ,J Trust Asia Pte. Ltd. ถือหุ้นร้อยละ 20 และ PT Wijaya Infrastruktur Indonesia ถือหุ้นร้อยละ 15 ชื่อกิจการร่วมค้า PT JTrust Finance Indonesia ลักษณะการดำเนินธุรกิจ Multi Finance Company จดทะเบียนในประเทศอินโดเซีย ทุนจดทะเบียน ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านรูเปียอินโดนีเซีย (ประมาณ 7 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนภายในกุล่มบริษัทฯ เพื่อเป็นช่องทางในการขยายธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย

นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) เปิดเผยว่า GL ได้เริ่มขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทฯ ใหม่เพื่อทำธุรกิจเช่าซื้อในอินโดนีเซีย โดยเป็นบริษัทฯ ร่วมทุนระหว่าง GLH (บริษัทฯโฮลดิ้งของ GL ในสิงคโปร์) เข้าถือหุ้น 65% กลุ่ม J Trust Asia ของญี่ปุ่นถือหุ้น 20% และกลุ่มทุนท้องถิ่นอินโดนีเซียถือหุ้นอีก 15% โดยบริษัทฯ ใหม่นี้จะอาศัยเครือข่ายสาขาของธนาคารท้องถิ่นในอินโดนีเซียจำนวน 62 แห่ง ซึ่งกลุ่ม J Trust เป็นเจ้าของ เปิดจุดให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซล ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ร่วมทุนใหม่นี้ยังพร้อมควบรวมกิจการกับไฟแนนซ์ท้องถิ่นทันทีที่ผลการเจรจา ซึ่งดำเนินการมาต่อเนื่องระยะหนึ่งแล้วบรรลุผลสำเร็จ

ทั้งนี้ บริษัทได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทฯ ร่วมทุนแห่งใหม่นี้ ชื่อ PT JTrust Finance Indonesia โดยมีทุนจดทะเบียนประมาณ 7 ล้านเหรียญสหรัฐ (245 ล้านบาท) คาดว่าการจดทะเบียนบริษัทใหม่นี้จะสำเร็จได้ภายใน 2-3 เดือน และสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจได้ภายในสิ้นปีนี้

GL เดินหน้ารุกตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาคอาเซียน หลังประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งในการรุกขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศกัมพูชาในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา และเริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศ สปป.ลาวเมื่อเร็วๆ นี้

"มั่นใจว่า การขยายธุรกิจเช่าซื้อเข้าสู่ประเทศอินโดนีเซียในครั้งนี้ จะเป็นก้าวย่างที่สำคัญต่อการนำพาบริษัทฯ บรรลุสู่วิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำธุรกิจเช่าซื้อในภูมิภาคอาเซียนภายใน 5 ปี"นายมิทซึจิ กล่าว

นายมิทซึจิ คาดการณ์ว่า พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อในกัมพูชา ซึ่งประกอบด้วย รถจักรยานยนต์ ‘ฮอนด้า’ และเครื่องจักรการเกษตรยี่ห้อ ‘คูโบต้า’ จะเติบโตประมาณเท่าตัว จาก 45 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,600 ล้านบาท) ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ไปเป็นประมาณ 80-100 ล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปีนี้ และเนื่องจากศักยภาพของตลาดยังมีอยู่สูงมาก จึงได้ประเมินต่อไปว่า พอร์ตสินเชื่อโดยรวมในกัมพูชาจะขยายตัวอีก 2.5 เท่า เป็นประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปี 2559 ซึ่งเป็นการเติบโตขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อในประเทศไทย ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 5,000 ล้านบาทในปัจจุบันไปเป็น 5,500 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน

"ศักยภาพในการขยายตัวของกัมพูชามีเยอะมากและการเติบโตนี้ ส่วนใหญ่หรือ 80% ของลูกค้าของ GL มาจากพื้นที่ในชนบท ซึ่งมีการพัฒนาและเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของถนนหนทางใหม่ๆ การก่อสร้างที่อยู่อาศัย โดยความเจริญเหล่านี้ได้สร้างผู้บริโภคกลุ่มใหม่ขึ้นมาที่มีอำนาจการซื้อซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อนในอดีต"นายมิทซึจิ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ในชนบทเหล่านี้ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ ซึ่งคู่แข่งของ GL ไปไม่ถึง เนื่องจากคู่แข่งส่วนใหญ่ มักเน้นทำธุรกิจในเขตเมืองใหญ่ เป็นผลให้ GL Finance บริษัทฯ ลูกของ GL ในกัมพูชาสามารถยกระดับขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดธุรกิจเช่าซื้อโดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 95% ขณะเดียวกันตลาดชนบทเหล่านี้ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้นจากความปั่นป่วนของตลาดการเงินทั่วโลกในขณะนี้อีกด้วย

GL ได้พัฒนาระบบ E-Finance หรือระบบประเมินเครดิตของลูกค้าที่มีความฉับไวและมีประสิทธิภาพสูงมากในการขยายธุรกิจในกัมพูชา โดยได้เริ่มใช้ระบบนี้ใน สปป.ลาว ซึ่ง GL เริ่มเปิดกิจการเมื่อเร็วๆ นี้ และจะใช้ระบบเดียวกันสำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียหลังการจดทะเบียนเสร็จสิ้นและบริษัทได้ใบอนุญาตดำเนินธุรกิจ

"มั่นใจว่า การรุกเข้าไปสู่ตลาดอินโดนีเซียเปรียบเสมือนการเปิดศักราชใหม่ ซึ่งจะนำพาบริษัทฯ ไปสู่การทำสถิติสูงสุดใหม่ไม่ว่าจะเป็นยอดรายได้รวมหรือผลกำไรในอนาคต ตลาดอินโดนีเซียก็คล้ายกับตลาดในกัมพูชา โดยเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วประชากรส่วนใหญ่ยังยากจนและไม่มีอำนาจการซื้อที่เพียงพอแต่สืบเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ประชากรส่วนใหญ่มีฐานะดีขึ้น มีรายได้และอำนาจการซื้อมากขึ้นจึงพร้อมมาเป็นลูกค้าของเราได้ในปัจจุบัน แต่เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียมีประชากรจำนวนมากกว่า 250 ล้านคน ตลาดจึงมีขนาดใหญ่กว่ากัมพูชาถึง 10 เท่า"นายมิทซึจิ กล่าว

ประเทศไทยยังคงเป็นฐานธุรกิจของ GL ต่อไปแต่ผลประกอบการจากธุรกิจในภูมิภาคจะครองส่วนแบ่งรายได้รวมและกำไรเพิ่มมากขึ้นต่อจากนี้ไป อาทิ กำไรจากกัมพูชาจะเทียบเท่ากับกำไรจากประเทศไทยในไตรมาส 3 และจะแซงหน้าได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ