ธนาคาร ในฐานะหนึ่งในสามของธนาคารเจ้าหนี้ได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับสำหรับสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนี้มาแล้วหลายเดือน โดยได้วางแผนการตั้งสำรองเพิ่มในจำนวนที่สูงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสปัจจุบัน รวมทั้งได้ดำเนินมาตรการอื่นๆ ไปพร้อมกันเพื่อที่จะลดผลกระทบต่อกำไรสุทธิให้มีน้อยที่สุดจากการตั้งสำรองในจำนวนที่สูงอย่างมีนัยสำคัญในครั้งนี้
อนึ่ง ยอดหนี้รวมของ SSI และบริษัทย่อยในประเทศอังกฤษคิดจากจำนวนเงินรวมกันกว่า 22,000 ล้านบาท สำหรับเงินกู้ที่ให้แก่บริษัทย่อยในประเทศอังกฤษนั้นจะมีการตั้งสำรองเต็มจำนวนโดยอยู่บนสมมุติฐานว่าหลักประกันที่มีอยู่จะถูกตีมูลค่าเป็นศูนย์ ในขณะที่ SSI ในฐานะบริษัทแม่ในประเทศไทยจะถูกตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนถึงการลดลงในมูลค่าหลักประกันที่มีอยู่เนื่องจากบริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู ทั้งนี้ การตั้งสำรองหรือตัดหนี้สูญของ SSI และบริษัทในเครือจะมีกจำนวนรวมกันประมาณ 10,000 ถึง 11,000 ล้านบาท
ในขณะเดียวกัน ธนาคารได้มีการดำเนินการเพื่อที่จะให้รับรู้กำไรที่เกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ทการลงทุนของธนาคาร โดยจะมีการบันทึกรับรู้กำไรจากการลงทุนเมื่อมีการขายหลักทรัพย์เกิดขึ้น สำหรับกำไรจากการลงทุนดังกล่าวในไตรมาสนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 7-8 พันล้านบาท ซึ่งจะสามารถลดผลกระทบที่มีต่อกำไรสุทธิของธนาคาร อันเนื่องมาจากการตั้งสำรองในกรณีของ SSI ได้ในระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ ธนาคารได้แจ้งข้อมูลสารสนเทศในครั้งนี้เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับทราบว่า ธนาคารได้พยายามที่จะดำเนินการอย่างรวดเร็วกับหนี้เสียที่เกิดจากการปล่อยกู้ รวมทั้งได้มีการดำเนินการเพื่อให้รับรู้กำไรจากการลงทุน ในอันที่จะช่วยลดผลกระทบที่จะมีต่อกำไรสุทธิของธนาคาร