ดังนั้น จึงมีมติอนุมัติให้บริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลในวันที่ 1 ตุลาคม 2558 และอนุมัติให้บริษัทฯเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ โดยในกรณีนี้อำนาจ หน้าที่ และความรับผิดในฐานะผู้ทำแผนตกเป็นกรรมการบริษัทที่มีชื่อตามหนังสือรับรอง โดยอนุมัติมอบอำนาจให้ นายวิน วิริยะประไพกิจ หรือ นายณรงค์ฤทธิ์ โชตินุชิตตระกูล ในฐานะผู้บริหารของลูกหนี้ (บริษัท) เป็นผู้ทำแผน
ในการนี้กลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่จะสนับสนุนให้บริษัทบริหารงานต่อไป โดยจะพิจารณาให้การสนับสนุนวงเงินหมุนเวียนเพิ่มเติมตามสมควร เพื่อให้บริษัทฯมีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ โดยให้ที่ปรึกษาทางการเงินทำหน้าที่ควบคุมเงินสด (cash Monitoring) ของบริษัท และกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่จะให้ความร่วมมือสร้างความเชื่อมั่นกับคู่ค้าของบริษัทฯในการดำเนินธุรกิจต่อไป
ทั้งนี้ เป็นผลจากที่บริษัทฯหยุดการผลิตแท่งแบนชั่วคราวที่โรงงานเอสเอสไอทีไซด์ของธุรกิจโรงถลุงเหล็กซึ่งดำเนินงานโดยบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ยูเค จำกัด โดยเอสเอสไอยูเคเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯถือหุ้นทั้งหมดร้อยละ 100 ระหว่างรอผลการหารือกับผู้มีส่วนได้เสีย เช่น รัฐบาลอังกฤษ คู่ค้า และสหภาพแรงงาน ในการให้ความร่วมมือลดต้นทุนการผลิตและหยุดผลขาดทุนของธุรกิจโรงถลุงเหล็ก
จากการประเมินสถานกาณณ์การหารือล่าสุด บริษัทฯขอแจ้งว่า เอสเอสไอ ยูเค มีความจำเป็นต้องหยุดการผลิตในส่วนของโรงถลุงเหล็ก ซึ่งบจะส่งผลให้ต้องมีการลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 1,700 คน จากทั้งหมดประมาณ 2,000 คน
นอกจากนี้ ตามที่เอสเอสไอ ยูเค ได้ถูกกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้เงินกู้ ซึ่งประกอบด้วยธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารทิสโก้ รวมเรียกว่ากลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ เรียกให้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ตามเงื่อนไขในการกู้ยืมเงินและส่งผลให้หนี้เงินกู้ยืมจากลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ถึงกำหนดชำระทั้งหมดในทันที และกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ้ได้เรียกให้บริษัทฯเป็นผู้ชำระหนี้ของ เอสเอสไอ ยูเค ในฐานะผู้ค้ำประกัน ทำให้บริษัทฯต้องรับรู้หนี้เงินกู้ยืมทั้งจำนวนของ เอสเอสไอ ยูเค ด้วย ซึ่งบริษัทฯไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้
ต่อมากลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ได้ตัดสินใจเรียกให้บริษัทชำระหนี้ที่ค้างอยู่ตามเงื่อนไขในการกู้ยืมเงิน เพิ่มเติมจากรณีของเอสเอสไอ ยูเค เนื่องจากบริษัทฯอยู่ในภาวะที่มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน และกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่จะใข้สิทธิในการเรียกภาระค้ำประกันจากเอสเอสไอ ยูเค ในฐานะผู้ค้ำประกันของบริษัทฯ อีกด้วย เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่
อนึ่ง หนี้เงินกู้ยืมระหว่างบริษัทฯ กับกลุ่มเจ้าหนี้เงินกู้ทั้ง 3 ธนาคาร รวมวงเงิน 23,900 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินกู้ระยะยาว 11,900 ล้านบาท และวงเงินกู้ยืมหมุนเวียน 12,000 ล้านบาท ทั้งนี้ได้แบ่งชำระยอดหนี้คงค้างของวงเงินกู้ยืมระยะยาว 11,900 ล้านบาทเป็นรายไตรมาส ดังนี้ ปี 58 ชำระร้อยละ 19, ปี 59 ชำระร้อยละ 13, ปี 60 ชำระร้อยละ 14, ปี 61 ชำระร้อยละ 15 , ปี 62 ชำระร้อยละ 16 , ปี 63 ชำระร้อยละ 18 และปี 64 ชำระร้อยละ 5 โดยใช้อัตราดอกเบี้ยอ้งอิงกับ MLR
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 กลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่จะใช้สิทธิเรียกให้ชำระหนี้ หลังจากบริษัทผิดนัดชำระหนี้โดยมูลหนี้ตามหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้ เป็นมูลหนี้ภายใต้สัญญาเงินกู้ 23,900 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าร้อยละ 5 ของสินทรัพย์รวมของบริษัที่ปรากฎในงบการเงินของบริษัท ฉบับสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558
สาเหตุการผิดนัดชำระหนี้เนื่องจากกรณีที่ เอสเอสไอ ยูเคได้ถูกเรียกให้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ตามเงื่อนไขการกู้ยืมเงินจากลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ และส่งผลให้หนี้เงินกู้ยืมจากกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ถึงกำหนดชำระทั้งหมดในทันที และกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ได้เรียกให้บริษัทฯเป็นผู้ชำระหนี้ของเอสเอสไอ ยูเค ในฐานะผู้ค้ำประกัน ทำให้บริษัทฯต้องรับรู้หนี้เงินกู้ยืมทั้งจำนวนของเอสเอสไอ ยูเค ด้วย ซึ่งบริษัทไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ จึงเป็นเหตุให้กลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ตัดสินใจเรียกให้บริษัทฯชำระหนี้ที่ค้างอยู่ตามเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน เนื่งอจากบริษัทอยู่ในภาวะที่มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน และกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่จะใช้สิทธิในการเรียกภาระค้ำประกันจาก เอสเอสไอ ยูเคในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของบริษัทฯ