ลักษณะธุรกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริการจัดหาผู้เช่าห้องชุดและบริการรับจ้างบริหารโครงการนิติบุคคลอาคารชุดแก่โครงการที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาเท่านั้น
นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ ตลท. เปิดเผยว่า ORI จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในวันที่ 7 ตุลาคม 2558 โดย ORI ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มุ่งเน้นการออกแบบโครงการที่มีเอกลักษณ์ มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่คุ้มค่าและมีบริการหลังการขายที่ดี นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ บริการจัดหาผู้เช่าห้องชุด รับจ้างบริหารโครงการนิติบุคคลอาคารชุดที่บริษัทเป็นผู้พัฒนา
ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างขาย 21 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาแล้วเสร็จ 8 โครงการ และที่อยู่ระหว่างพัฒนา 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 13,500 ล้านบาท
ORI มีทุนชำระแล้ว 300ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 450 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 150 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 150 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 30 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม 2558 ในราคาหุ้นละ 9 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,350 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 5,400 ล้านบาท โดยมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้พัฒนาโครงการในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งในแถบรอบนอกกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวมทั้งแนวเขตนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะโครงการที่ศรีราชา ซึ่งมีความต้องการที่อยู่อาศัยสูง ทำเลดี เดินทางสะดวก โดย ORI มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ประกอบการชั้นนำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมภายในปี 2560
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ORI 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มครอบครัวจรูญเอก ถือหุ้น 75.00% นายนเรศ งามอภิชน ถือหุ้น 2.50% และนายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล ถือหุ้น 0.83% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ซึ่งเป็นวิธีการสอบถามปริมาณความต้องการซื้อหุ้นสามัญของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศในแต่ละระดับราคา โดยคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 18.41 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ไตรมาส 3 ปี 2557-ไตรมาส 2 ปี 2558)หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted)คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.49 บาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40%ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และเงินสำรองต่างๆ ตามกฎหมายจากงบการเงินเฉพาะกิจการ