S ดึงกลุ่มฟิโก้ ร่วมซื้อรร.ในอังกฤษ หวังสร้างเงินสดสม่ำเสมอระยะยาว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 15, 2015 09:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) ดึงกลุ่มฟิโก้ (FICO) เข้าร่วมทุนฝ่ายละ 50% เพื่อเข้าซื่อหุ้นทั้งหมดใน Jupiter Hotels Holdings Limited (JHH) ซึ่งเป็น Holding Company ที่ทำธุรกิจให้บริการด้านโรงแรมในสหราชอาณาจักร 26 แห่งภายใต้แบรนด์ Mercure มูลค่ารวม 154.77 ล้านปอนด์ หรือราว 8.6 พันล้านบาท โดยเป็นการจ่ายเงินเพื่อซื้อหุ้นและจ่ายคืนหนี้เงินกู้ยืมของ JHH ขณะที่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกไม่เกิน 5 ล้านปอนด์ หรือราว 277.79 ล้านบาทด้วย

ขณะที่ S มองว่าอุตสาหกรรมโรงแรมในประเทศสหราชอาณาจักรกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และคาดหวังจะสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอในระยะยาว (Recurring income) ทั้งนี้ คาดว่าการเข้าทำรายการซื้อขายหุ้นดังกล่าวจะมีขึ้นในวันนี้ (15 ต.ค.58)

S แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อเย็นวานนี้ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 30 ก.ย. อนุมัติให้ S Hotels and Resorts (UK) Limited (S UK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าร่วมลงทุนใน JHH ผ่านบริษัทย่อยของ FS JV Co., Ltd. (FS JV) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งใหม่ระหว่าง S UK และ FICO Holding (UK) Limited (FICO UK) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มฟิโก้

ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ต.ค. S UK ได้ร่วมลงทุนใน FS JV ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งในอังกฤษ ถือหุ้นโดย S UK และ FICO UK ฝ่ายละ 50% และในวันเดียวกัน S UK ได้ทำสัญญาให้กู้ยืมเงินแก่ FS JV จำนวน 40 ล้านปอนด์ หรือราว 2.22 พันล้านบาท กำหนดชำระคืน 5 ปี อัตราดอกเบี้ย LIBOR+6.50% ต่อปี

เมื่อวันที่ 10 ต.ค. FS Senior Co Limited (FS SENIOR) ซึ่งถือหุ้นทางอ้อม 100% โดย FS JV ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น กับ Patron Jupiter Holdings S.A.R.L และ West Register Hotels (Holdings) Limited เพื่อเข้าลงทุนใน JHH ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งในอังกฤษ เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการด้านโรงแรมและถือครองกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าโรงแรมในสหราชอาณาจักรจำนวน 26 แห่ง ภายใต้แบรนด์เมอร์เคียว (Mercure) โดยเข้าซื้อหุ้น JHH ทั้ง 100% มูลค่ารวม 72.56 ล้านปอนด์ หรือราว 4.03 พันล้านบาท

ทั้งนี้ เพื่อให้การเข้าลงทุนใน JHH ปราศจากหนี้สินกู้ยืมจากบุคคลภายนอก FS SENIOR จะนำเงินที่กู้ยืมจากสถาบันการเงินไปให้ JHH กู้ยืม เพื่อนำไปจ่ายคืนหนี้กู้ยืมที่ JHH และบริษัทย่อยมีกับสถาบันการเงินและผู้ถือหุ้นเดิม เป็นจำนวน 82.21 ล้านปอนด์ หรือราว 4.57 พันล้านบาท รวมมูลค่าการลงทุนราว 154.77 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 8.6 พันล้านบาท

นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเข้าทำรายการนี้ เช่น ค่าที่ปรึกษากฎหมาย และค่าที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นต้น นอกเหนือจากเงินลงทุนข้างต้น จะเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 5 ล้านปอนด์ หรือเทียบท่า 277.79 ล้านบาท

ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ต.ค. FS Mezz Co Limited (FS MEZZ) และ FS Senior Co Limited (FS SENIOR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ FS JV ได้เข้าลงนามในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินเป็นจำนวนเงินรวม 122.99 ล้านปอนด์ หรือราว 6.83 พันล้านบาท โดยบริษัท และ FICO ในฐานะผู้ถือหุ้นที่แท้จริง ของ FS JV ค้ำประกันภาระเงินกู้ยืมดังกล่าวตามสัดส่วนการถือหุ้นฝ่ายละ 50% ขณะที่คาดว่าการเข้าทำรายการซื้อขายหุ้น JHH จะมีขึ้นในวันนี้ (15 ต.ค.58)

JHH ประกอบธุรกิจในรูปแบบ Holding Company โดยถือหุ้นในบริษัท จูปิเตอร์ โฮเต็ลส์มิดโค จำกัด (Jupiter Mid ) จำนวน 100% และ Jupiter Mid ถือหุ้นในบริษัท จูปิเตอร์ โฮเต็ลส์ จำกัด (Jupiter Hotels) จำนวน 100% โดย Jupiter Hotels ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านโรงแรมในสหราชอาณาจักร 26 แห่ง โดยถือครองกรรมสิทธิ์/สิทธิการเช่าทางตรง 25 แห่ง และทางอ้อม 1 แห่ง ผ่าน Jupiter Hotel Wetherby Limited (Jupiter Hotel Wetherby) บริษัทย่อย ที่ JHH ถือหุ้น 100% นอกจากนี้ JHH ยังถือหุ้น 100% ใน Jupiter Hotels Management Limited (Jupiter Hotels Management) ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการโรงแรม 6 แห่งซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในทรัพย์สินที่จะเข้าลงทุน

ทั้งนี้ โรงแรมทั้ง 26 แห่งที่ FS JV จะเข้าลงทุนมีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 2,883 ห้อง โดยโรงแรมจำนวน 20 แห่ง มีลักษณะการถือครองเป็ นกรรมสิทธิ์ และโรงแรมอีก 6 มีลักษณะการถือครองเป็นสิทธิการเช่าระยะยาว ระยะเวลาคงเหลือประมาณ 18 ถึง 94 ปี โดยในปี 57 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 66% และมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย 62 ปอนด์/คืน

สำหรับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับการจาการลงทุนครั้งนี้นั้น S เห็นว่ากิจการโรงแรมที่จะเข้าลงทุนตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ และมีอัตราการเติบโตที่ดี เนื่องจากอุตสาหกรรมโรงแรมในสหราชอาณาจักรกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังเป็นการต่อยอดธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทด้วย ตลอดจนเป็นการกระจายความเสี่ยงไปสู่การลงทุนในธุรกิจโรงแรมต่างประเทศ และยังจะช่วยสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอในระยะยาว (Recurring income) โดยบริษัทจะรับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น 50% ซึ่งเป็นการเสริมกำไรให้แข็งแกร่งขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ