JWD แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อเป็นผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการบริหาร หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหาร มีอำนาจพิจาณากำหนดรายละเอียดอื่นๆ ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด สำหรับการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่จะขายหรือให้เช่าแก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทจะแจ้งให้ทราบเมื่อมีรายละเอียดเพิ่มเติม
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทยังอนุมัติการลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ โดยให้นำเงินสภาพคล่องส่วนเกินจำนวน 244 ล้านบาทมาลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้
พร้อมกันนี้ได้แต่งตั้งนายเอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และกรรมการบริหารด้วย
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD คาดว่าการตั้งบริษัทย่อยดังกล่าว จะดำเนินการแล้วเสร็จได้ในไตรมาส 4/58 ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด ของการจัดตั้ง REIT โดยมีการพิจารณาถึงสินทรัพย์ และจำนวนพื้นที่ คาดว่าจะสามารถสรุปรายละเอียดดังกล่าวได้ภายในไตรมาส 1/59 และน่าจะเสนอขายหน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ในปี 59
สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทรัสต์ฯนั้น บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะการทำ M&A ในธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน หรือในธุรกิจอื่นๆ ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจโลจิสติกส์เดิม แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ การควบรวมเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และการควบรวมเพื่อแตกไลน์ธุรกิจ เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการศึกษาถึงการคุ้มค่าของการลงทุน อย่างไรก็ตามบริษัทมีนโยบายของการเข้าซื้อกิจการและการเข้าถือหุ้นมากกว่า 50%
"ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องคลังสินค้าต้องเป็นพื้นที่ไหน และมีพื้นที่เท่าไหร่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่แน่ชัด แต่คิดว่าช่วงแรกน่าจะประมาณสัก 1 ส่วน 3 ก่อน หรือ ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งเราก็คงจะเอาเงินที่ได้จากการนำสินทรัพย์เข้ากองรีทมาลงทุนต่อ ก็น่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน"นายชวนินทร์ กล่าว
นายชวนินทร์ คาดว่าผลการดำเนินงานปีนี้ก็ยังคาดว่ารายได้จะเติบโตมากกว่าปีก่อน จากปี 57 ที่มีรายได้อยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจคลังสินค้า 75% และอีก 25% เป็นการขนส่ง-รับขนย้าย ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/58 คาดว่าน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/58 เนื่องด้วยยังได้รับผลกระทบจากการนำเข้า-ส่งออกที่ยังทรงตัวอยู่
ปัจจุบันบริษัทมีคลังสินค้าทั่วไป คลังสินค้าอันตราย คลังสินค้าแช่เย็นแช่แข็ง คลังสินค้าสำหรับเก็บเอกสาร คิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 210,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) และมีลานสินค้าอันตราย รวมถึงลานสำหรับพักรถยนต์เพื่อการส่งออกภายในพื้นที่นิคมฯ แหลมฉบัง ถนนบางนา กิโลเมตรที่ 19 ตำบลมหาชัย จังหวัดสมุทรสาครและสุวินทวงศ์ อีกกว่า 557,000 ตร.ม.
บริษัทเป็นผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศอย่างครบวงจรมานานกว่า 35 ปี ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่ให้บริการทั้งในเขตพื้นที่ทั่วไปและเขตปลอดอากรรวม 775,743 ตร.ม. โดยตั้งอยู่บนทำเลหลักสำหรับการนำเข้าและส่งออก รวมถึงจุดกระจายสินค้าหลักๆ ของประเทศ ประกอบด้วยคลังสินค้าจำนวน 40 หลัง พื้นที่รวม 206,488 ตร.ม. และลานรับฝากสินค้า 569,255 ตร.ม.
โดยตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง 608,187 ตร.ม. ถนนกรุงเทพกรีฑา 4,575 ตร.ม. ถนนสามวา 19,200 ตารางเมตร ถนนบางนา-ตราด กม.19 ขนาด 94,480 ตร.ม. ถนนสุวินทวงศ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา 18,905 ตร.ม. ตำบลมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร 27,996 ตร.ม.และอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ 2,400 ตร.ม. โดยพื้นที่ดังกล่าวรวมพื้นที่การให้บริการจัดการสินค้าอันตราย 184,000 ตร.ม. ที่บริษัทได้รับสัมปทานเพียงรายเดียวในเขตท่าเรือแหลมฉบัง ส่งผลให้สินค้าอันตรายทั้งหมดที่เข้า-ออกผ่านท่าเรือฯ ต้องผ่านคลังสินค้าอันตรายของบริษัทเท่านั้น
สำหรับจุดแข็งของการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้น 1.บริษัทเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภาคพื้นดินแบบครบวงจร ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการให้แก่ลูกค้าได้อย่างครบถ้วน 2.บริษัทมุ่งเน้นการให้บริการในกลุ่มธุรกิจที่มีความซับซ้อนสูงกว่าการให้บริการทั่วไป เช่น การบริหารจัดการคลังสินค้าอันตราย สินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นแช่แข็ง สินค้ารถยนต์ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องการความถูกต้องและรวดเร็วในการให้บริการ และ 3.บริษัทฯ นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาช่วยในการบริหารจัดการคลังสินค้าเพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวถูกพัฒนาโดยบริษัทในเครือ