สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/58 ของบริษัทมีกำไรสุทธิ 822.55 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิ 1.05 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 3.62 พันล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิ 4.43 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัทระบุว่า ธุรกิจหลักพื้นฐานของบริษัท ยังคงขยายตัวตามแผนที่วางไว้ ถึงแม้ว่าตลาดจะอยู่ในสภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ตามปริมาณการส่งออกของบริษัท มีส่วนสนับสนุนการดำเนินการผลิตอย่างเต็มกำลัง โดยปริมาณปูนซีเมนต์ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านเติบโต 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งประเทศกัมพูชายังคงเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทคิดเป็น 63% ของส่วนแบ่งตลาดทั้งหมด ตามด้วยเมียนมาร์ 24% และลาว 13% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยชดเชยรายได้จากการขายในประเทศที่ลดลง
อย่างไรก็ตามการลดลงของปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ และภาวะการแข่งขันด้านราคาขาย มีผลให้กำไรสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปีลดลง แต่ด้วยการบริหารจัดการด้านการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ และการขยายธุรกิจ ทำให้กลุ่มบริษัทสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบต่างๆ โดยสามารถคงไว้ซึ่งสถานะทางการเงินที่มั่นคง ส่วนด้านปริมาณการผลิตปูนซีเมนต์ โดยรวมยังคงที่ เนื่องจากความต้องการที่ลดลงของตลาดในประเทศ
นอกจากนี้บริษัท ยังคงได้ประโยชน์จากการปรับตัวลดลงของราคาถ่านหินในตลาดและอัตราค่าไฟฟ้า อีกทั้งการจัดสรรการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม การควบคุมต้นทุนจากโครงการประหยัดพลังงานต่างๆ และการบริหารระบบการจัดซื้อจัดจ้างได้ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง
แต่การที่กำไรสำหรับงวดของบริษัทลดลงนั้น สืบเนื่องมาจากรายได้ที่ลดลงและการขาดทุนของอัตราแลกเปลี่ยนของบริษัทในเครือในต่างประเทศ ทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้นสำหรับงวด 9 เดือนเป็น 15.74 บาทต่อหุ้น ลดลงจาก 19.27 บาท จากงวดเดียวกันกับปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตามบริษัทมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการตลาดของบริษัท โดยบริษัท ได้ลงทุนสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิต 1.5 ล้านตัน/ปี โดยมีการลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท ชิปมง ซีเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดแล้ว ซึ่งบริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วน 40%