ส่วนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน TOCGC ก่อสร้างแล้วเสร็จตามแผนในไตรมาส 3/58 และอยู่ระหว่างกระบวนการทดสอบการทำงานของระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนพ.ย.58 ขณะที่โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 นั้น ได้เลื่อนกำหนดการดำเนินการเชื่อมต่อส่วนขยายภายหลังการหยุดเดินเครื่องฉุกเฉินเมื่อวันที่ 28 ก.ค.58 นั้น ได้ทยอยเริ่มเดินเครื่องในแต่ละหน่วยการผลิตตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่เดือนก.ย.58 และคาดว่าโครงการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในเดือนพ.ย.58 นี้
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/58 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,207 ล้านบาท ลดลง 84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 87% จากไตรมาสก่อน หลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงในไตรมาสนี้ โดยราคาน้ำมันดิบที่ลดลง 19% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้มีการรับรู้ผลขาดทุนจากสต็อกวัตถุดิบนำเข้าผลิตและผลิตภัณฑ์จากกลุ่มธุรกิจการกลั่น 2,049 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์อีก 428 ล้านบาท รวมถึงยังรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่อ่อนค่าลงในไตรมาสนี้อีก 2,140 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงรักษาอัตรากการทำกำไร Adjusted EBITDA Margin ได้ในระดับปกติที่ 11% โดยธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องยังสามารถรักษาระดับ Adjusted EBITDA Margin ได้ที่ 24% แม้ว่าราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก HDPE จะลดลง 10% จากไตรมาสก่อนตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ประกอบกับการหยุดเดินเครื่องผลิตของโรงโอเลฟินส์บางส่วน ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตรวมของโรงโอเลฟินส์ ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 93%
ส่วนของธุรกิจการกลั่นสามารถใช้กำลังการผลิตของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ (CDU) ได้อย่างเต็มที่ที่ 101% ทำให้ค่าการกลั่นของหน่วย CDU ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 5.11 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์นั้น มีผลการดำเนินงานลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และราคาวัตถุดิบที่ลดลง และการหยุดเดินเครื่องของโรงอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 เพื่อซ่อมบำรุงและเชื่อมต่อส่วนขยายสำหรับโครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของหน่วยอะโรเมติกส์รวมลดลงมาที่ 57% ส่งผลให้มาร์จิ้นต่อหน่วยของธุรกิจนี้ลดลงมาที่ 183 เหรียญสหรัฐ/ตัน