(เพิ่มเติม) ตลท.รับหลักทรัพย์ J เริ่มซื้อขาย 10 พ.ย.58

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 9, 2015 18:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท (J) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2558

J ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้าในส่วนของโทรศัพท์เคลื่อนที่และสินค้าเทคโนโลยีเพื่อนำมาจัดสรรให้ผู้ประกอบธุรกิจเช่าต่อภายใต้ชื่อ “IT Junction" ปัจจุบันมี 43 สาขา ทั้งในกรุงเทพมหานครปริมณฑล และจังหวัดสำคัญทั่วประเทศ และได้ขยายธุรกิจไปสู่การพัฒนาและบริหารพื้นที่ในรูปแบบตลาดชุมชนและศูนย์การค้าชุมชน (community mall) ภายใต้ชื่อ “J Market" และ “The Jas" ตามลำดับ ทั้งนี้ J เป็นบริษัทย่อยของ บมจ. เจ มาร์ท (JMART) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่เล็งเห็นโอกาสเติบโตของบริษัทย่อยจึงนำเข้าจดทะเบียน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน

J มีทุนชำระแล้ว 370.39 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 250 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 120.39 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นของ JMART 48.16 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 26-28 ตุลาคม 2558 และเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป 72.23 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2558 ในราคาหุ้นละ 2.77 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 333.48 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,025.98 ล้านบาท โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นางนงลักษณ์ ลักษณะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร J เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ 70% จะนำไปขยายธุรกิจทั้ง IT Junction J Market และ The Jas เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในอนาคต ส่วนที่เหลืออีก 30% จะนำไปชำระคืนเงินกู้ นอกจากนี้ การที่ J เป็นบริษัทในกลุ่มของ JMART จะเป็นส่วนสนับสนุนให้การบริการของ J เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกระดับและครบวงจรมากยิ่งขึ้น

หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ J 3 ลำดับแรก ได้แก่ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 67.50% กลุ่มครอบครัวสุขุมวิทยา ถือหุ้น 1.80% และกลุ่มครอบครัวพงษ์อัชฌา ถือหุ้น 1.10% การกำหนดราคาหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 21.54 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (1 กรกฎาคม 2557-30 มิถุนายน 2558) ปรับลดด้วยผลขาดทุนทางบัญชีจากรายการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนและการตั้งค่าเผื่อด้อยค่าทรัพย์สินของโครงการ หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) แต่หากไม่ปรับลดผลขาดทุนทางบัญชีดังกล่าว จะทำให้มี P/E ratio ที่ 12.68 เท่า

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และเงินสำรองตามกฎหมายจากงบการเงินรวม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ