สืบเนื่องจากบริษัทฯได้ปรับโครงสร้างหนี้กับบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) ในปี 46 โดยมีมูลหนี้จำนวนประมาณ 735 ล้านบาท และการปรับโครงสร้างหนี้ได้เสร็จสิ้นไป โดยบริษัทฯ ได้จ่ายเงินสด จำนวน 118 ล้านบาทและตีทรัพย์เป็นที่ดินมูลค่าประมาณ 105 ล้านบาท เพื่อชำ ระหนี้นั้น
ต่อมาในเดือน เม.ย.50 บริษัทฯ ได้รับหนังสือจากบสท. ขอบอกเลิกสัญญาปรับโครงสร้างหนี้และให้บริษัทฯ ชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิมในเดือน ก.ค.และ ก.ย.52 บสท.ได้ยื่นฟ้องบริษัทฯ เป็นคดีล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้บริษัทฯ เป็นบุคคลล้มละลาย
ทั้งนี้ ในเดือน พ.ย.52 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องในคดีดังกล่าว โดยศาลวินิจฉัยว่ามูลหนี้ที่นำมาฟ้องนั้นเป็นมูลหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ที่บริษัทฯ ได้เคยปรับโครงสร้างหนี้กับบสท. และบริษัทฯ หลุดพ้นจากหนี้ตามข้อกำหนดที่ระบุในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้นั้นแล้ว
และในเดือน ธ.ค.52 บสท.ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลล้มละลายกลางต่อศาลฎีกา แผนกคดีล้มละลาย และบริษัทฯ ได้ยื่นคัดค้านคำอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาเช่นกันในระหว่างปี 55 บริษัทฯ ได้รับหนังสือแจ้งจากบสท.ว่า บสท. อยู่ระหว่างการชำระบัญชีเลิกกิจการและได้โอนสิทธิเรียกร้องทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นให้แก่บริษัท บริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท จำกัด