ขณะที่บริษัทเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) จำนวน 1,439,722,300 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 9 บาท โดยแบ่งเป็นหุ้นเดิมของบมจ.ปตท.(PTT) จำนวน 1,242,500,000 หุ้น และหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 197,222,300 หุ้น
นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า SPRC เป็นหนึ่งในผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมชั้นนำของประเทศไทย มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 165,000 บาร์เรล/วัน คิดเป็น 13.2% ของกำลังการกลั่นน้ำมันดิบทั้งหมดของประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้แก่ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วเกรดธรรมดาและเกรดพรีเมี่ยม น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน และน้ำมันเตา รวมทั้งผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีซึ่งใช้เป็นผลิตภัณฑ์ตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ
SPRC มีมูลค่าระดมทุนรวม 2,096.55 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 39,023.12 ล้านบาท โดยมีบล.บัวหลวง ,บล.ฟินันซ่า ,บล.ภัทร และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบล.บัวหลวง บล.ฟินันซ่า บล.ภัทร และบล.ไทยพาณิชย์ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายวิลเลียม ลูอีส สโตน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ SPRC เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวไทยได้ร่วมเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทปิโตรเลียมชั้นนำแห่งหนึ่งของไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯ ให้เติบโตต่อเนื่อง และเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน โดยวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ ในการระดมทุนครั้งนี้เพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจว่าการขายหุ้น IPO ครั้งนี้จะเป็นโอกาสการลงทุนในระยะยาว โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปชำระคืนภาระหนี้ที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างทุนของบริษัทและเป็นเงินทุนหมุนเวียนของกิจการต่อไป
SPRC มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ เชฟรอน เซาท์ โฮลดิ้งส์ 60.56% Merrill Lynch International เป็นผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้น 10.17% และ บมจ. ปตท. 5.41%
การกำหนดราคา IPO ในครั้งนี้ พิจารณาจากการประเมินมูลค่าโดยวิธีประเมินมูลค่าปัจจุบันจากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต (discounted cash flow) และวิธีประเมินมูลค่าเชิงเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจเดียวกันและสามารถเทียบเคียงได้ (market comparable) ประกอบกับการประเมินความต้องการเบื้องต้นจากนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งหากเปรียบเทียบอัตราส่วนระหว่างราคา IPO กับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value Per Share) ของบริษัท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2558 จะเท่ากับ 1.11 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 เท่ากับ 6,381.88 ล้านบาท และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และเงินสำรองตามกฎหมาย