นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ ของ ECF คาดว่ากำไรสุทธิปี 59 มีแนวโน้มดีกว่าปีนี้ หลังจะมีรายได้จากร้าน Can Do และรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าที่มีมาร์จิ้นสูงเข้ามา ซึ่งจะสนับสนุนรายได้ในปีหน้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีนี้ โดยจะมาจากธุรกิจเดิมที่เติบโต 12% ส่วนที่เหลือมาจากการเติบโตในธุรกิจใหม่
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาทเพื่อขยายสาขาร้าน Can Do อย่างน้อย 10 สาขาในปีหน้า โดยจะเน้นเปิดตามหัวเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนต่อสาขาราว 7-8 ล้านบาท ซึ่งคาดจะมีรายได้เข้ามาเป็นสัดส่วนราว 10% ของรายได้รวมบริษัทตั้งแต่ปี 59 ขณะที่เตรียมเปิดขายแฟรนไชส์ร้าน Can Do ในช่วงกลางปี 59 ด้วย โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปี มีสาขาไม่ต่ำกว่า 100 สาขา แบ่งเป็นสาขาของกลุ่มบริษัท 60 สาขา และแฟรนไชส์ 40 สาขา
"ปี 59 กำไรสทธิของเราก็ต้องเพิ่มขึ้น โดยเป็นการเติบโตตามรายได้ ประกอบกับการเปิดร้าน Can Do ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจเดิม นอกจากนี้จะยังมีรายได้จากการขยายธุรกิจไฟฟ้าพลังานทดแทน ช่วยให้ผลการดำเนินงานมีการเติบโตได้ดี"นายอารักษ์ กล่าว
ECF แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯช่วงบ่ายว่า บริษัทมีความสนใจจะขยายการลงทุนไปในธุรกิจร้านค้าปลีก ที่จำหน่ายสินค้าคุณภาพดีในราคาที่กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงได้ และตอบโจทย์ความต้องการใช้งานครอบคลุมหลายๆด้านของชีวิตประจำวัน จึงได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการเข้าเจรจากับ Can Do เพื่อนำเสนอโอกาสการขยายการดำเนินธุรกิจมายังไทย จนเกิดเป็นความตกลงที่จะดำเนินธุรกิจร่วมกัน โดย ECFH เป็นผู้เข้าลงนามในนสัญญาแฟรนไชส์ ในฐานะผู้ได้รับสิทธิการดำเนินธุรกิจร้านค้า Can Do ในไทย
โดย ECFH จะเป็นผู้ได้รับในการใช้เครื่องหมายทางการค้า รูปแบบร้านค้า ระบบบริหารจัดการร้านค้า และการสั่งซื้อสินค้าจาก Can Do ประเทศญี่ปุ่น เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจภายในไทย มีระยะเวลาสัญญา 5 ปี
ขณะที่ ECFH จะเปิดร้าน Can Do 3 สาขาแรก ในเดือนธ.ค.นี้ บนทำเลที่ตั้ง สาขาฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต สาขาซีคอนสแควร์ และสาขาเดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก ตามลำดับ
อนึ่ง ECF ถือหุ้นใน ECFH จำนวน 51% และมีแผนจะเพิ่มเป็น 75% ภายในเดือนม.ค.59
ทั้งนี้ ECF ระบุว่าบริษัทจะสร้างโอกาสขยายการดำเนินธุรกิจไปยังธุรกิจประเภทอื่นเพื่อสร้างความเติบโต และเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว แต่บริษัทก็ยังคงมีนโยบายดำเนินธุรกิจหลัก คือการเป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศ สำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้ปาติเคิลบอร์ดและไม้ยางพาราตามปกติ แต่บริษัทก็มีแผนขยายไปสู่ธุรกิจร้านค้าปลีก รวมถึงพลังงานทดแทนด้วย
"Can Do เป็นร้านขายปลีกสินค้าทั้งร้านในราคา 100 เยน ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับต้น ๆ รวมถึงมีสาขาในญี่ปุ่นไม่ต่ำกว่า 970 สาขา นอกจากนี้ยังถือเป็นครั้งแรกที่ทาง Can Do มีการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ ซึ่งภายหลังจากที่ ECF เกิดความสนใจและได้เข้าไปเจรจาเพื่อแสดงความพร้อมในด้านต่าง ๆ จนทาง Can Do เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพ ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ ในที่สุดจึงเกิดเป็นการตัดสินใจที่จะดำเนินธุรกิจร่วมกันเป็นที่มาในการลงนามสัญญาแฟรนไชส์ในครั้งนี้"นายอารักษ์ กล่าว
นายอารักษ์ กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในร้าน Can Do ครอบคลุมตั้งแต่ของใช้ภายในบ้าน สินค้าเพื่อความงาม ภาชนะบรรจุอาหาร อุปกรณ์ทำความสะอาด อุปกรณ์เครื่องเขียน งานฝีมือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ กล่อง ตระกร้าใส่ของ สินค้าเทศกาล ฯลฯ โดยแต่ละร้านจะมีสินค้าให้เลือกซื้อนับหมื่นรายการ
ส่วนภาพรวมการดำเนินงานของ ECF ในปีนี้ เชื่อมั่นว่ารายได้จากการขายจะเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตมาที่ประมาณ 1.3 พันล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 981.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 54.98 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ ซึ่งยังมีกำลังซื้อที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งยอดขายที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสาขาที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มลูกค้าโมเดิร์นเทรด อาทิ เทสโก้ โลตัส โฮมโปร บิ๊กซี เมกาโฮม ไทวัสดุ