โดยมียอดรวมของเจ้าหนี้ที่ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้เป็นจำนวนเงินตามบัญชีเท่ากับ 546.06 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้น 380.35 ล้านบาท ดอกเบี้ย 165.70 ล้านบาท จ่ายชำระหนี้ตามแผน 481.87 ล้านบาท สำหรับหนี้ที่เหลือ บริษัทได้ตัดหนี้ (Hair Cut) จำนวน 64.19 ล้านบาท เจ้าหนี้ทั้งหมดถูกจัดแบ่งเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเจ้าหนี้มีประกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของจำนวนหนี้ทั้งหมด มีเจ้าหนี้ 1 ราย ได้แก่ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โดยมีหนี้ตามแผน 272.20 ล้านบาท ยอดจ่ายชำระหนี้ 272.20 ล้านบาท
กลุ่มเจ้าหนี้มีประกันน้อยกว่าร้อยละ 15 ของจำนวนหนี้ทั้งหมด มีเจ้าหนี้ 1 ราย ได้แก่ ธนาคารนครหลวงไทย มีหนี้ตามแผน 86.06 ล้านบาท ยอดจ่ายชำระหนี้ 86.06 ล้านบาท , กลุ่มเจ้าหนี้มีประกันที่มีมูลค่าทรัพย์หลักประกันไม่ครบมูลหนี้ มีเจ้าหนี้ 1 ราย ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด มีหนี้ตามแผน 98.37 ล้านบาท ยอดจ่ายชำระหนี้ 65.73 ล้านบาท และมีการตัดลดหนี้ 32.64 ล้านบาท
กลุ่มเจ้าหนี้ค่าสาธารณูปโภค,เจ้าหนี้ค่าธรรมเนียม มีเจ้าหนี้ 5 ราย ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาค ,การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ,ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย , บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด และบมจ.ทีโอที มีหนี้ตามแผน 3.45 ล้านบาท ยอดจ่ายชำระหนี้ 3.44 ล้านบาท ,กลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีหลักประกันทั่วไป มีเจ้าหนี้ 23 ราย มีหนี้ตามแผน 77.47 ล้านบาท ยอดจ่ายชำระหนี้ 45.92 ล้านบาท และมีการตัดลดหนี้ 31.55 ล้านบาท และกลุ่มเจ้าหนี้บุริมสิทธิ์ทั้งหลาย (เจ้าหนี้แรงงาน) มีเจ้าหนี้ 247 ราย มีหนี้ตามแผน 8.52 ล้านบาท ยอดจ่ายชำระหนี้ 8.52 ล้านบาท
ทั้งนี้ แผนชำระหนี้ดังกล่าวมีระยะเวลา 3 ปี ภายหลังที่บริษัทได้ดำเนินการชำระหนี้ตามแผนชำระหนี้แล้วเสร็จ ศาลฯได้มีคำสั่งเห็นชอบให้บริษัทออกจากการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2551
อย่างไรก็ตามแผนฟื้นฟูกิจการนี้ มีผู้ร้องคัดค้านต่อศาลฯ 3 ราย ได้แก่ ธนาคารนครหลวงไทย ซึ่งเป็นเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 , บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด เป็นเจ้าหนี้กลุ่มที่ 3 และบริษัท ยูเนียนเปเปอร์คารตอนส์ จำกัด เป็นเจ้าหนี้กลุ่มที่ 4
โดยเมื่อวันที่ 25 กันยายายน 2549 ศาลฯพิจารณาแล้วเห็นว่าแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าวมีการจัดสรรชำระหนี้อย่างเป็นธรรม และการดำเนินการตามแผนสำเร็จ จะทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่บริษัทล้มละลาย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2549 ธนาคารนครหลวงไทย ซึ่งได้รับการตีทรัพย์ชำระหนี้เต็มจำนวนแล้วนั้น ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลฎีกา และเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559 ศาลล้มละลายกลางได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ฉบับลงวันที่ 24 เมษายน 2558 โดยพิพากษาไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
ขณะที่เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2556 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบมจ.วธน แคปปิตอล และภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบมจ.โพลาริส แคปปิตัล เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2558
ทั้งนี้ จากการหารือกับฝ่ายกฎหมายของบริษัทในเบื้องต้นแล้วประเมินว่า หนี้ในส่วนที่บริษัทได้ชำระหนี้ตามแผนไปแล้วนั้น ถือได้ว่าบริษัทได้ชำระหนี้เสร็จสิ้นและครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว ,ภาระหนี้ที่บริษัทได้รับการตัดหนี้ ที่มียอดรวม 64.19 ล้านบาทนั้น ยังคงต้องพิจารณาเรื่องอายุความของภาระหนี้ดังกล่าว และหากบริษัทต้องรับภาระหนี้ที่บ่ริษัทได้ตัดหนี้จำนวนดังกล่าว เมื่อพิจารณาจากส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีอยู่ 5,575 ล้านบาท ณ ไตรมาส 3/58 นั้น บริษัทก็ยังมีความสามารถในการชำระหนี้ดังกล่าวได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของบริษัท
ดังนั้น ผลกระทบที่เกิดจากการพิพากษาของศาลฎีกาในปัจจุบัน ทางบริษัทคาดว่าคงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ซึ่งภาระหนี้ดังกล่าวยังต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปอีกในอนาคตข้างหน้า ซึ่งหากมีความคืบหน้าทางบริษัทจะแจ้งต่อนักลงทุนต่อไป