สำหรับไตรมาส 4/58 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการรวมทั้งสิ้น 1,037.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 45.69 ล้านบาท หรือ 4.61% (หากไม่รวมรายได้ค่าก่อสร้างภายใต้สัญญาสัมปทานจะมีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,006.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 50.75 ล้านบาท หรือ 5.31%) และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ จำนวน 280.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.11 ล้านบาท หรือ 1.49% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 57
สิ้นไตรมาส 4/58 สภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็ นผลจากการเร่งซื้อรถยนต์ก่อนการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในปี 59 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ด้านการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 3.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 4.6% จากไตรมาส 3 เนื่องจากเหตุระเบิดในกรุงเทพเมื่อเดือนสิงหาคมยังคงส่งผลกระทบมาถึงไตรมาสนี้ ประกอบกับนักท่องเที่ยวจากประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์มีจำนวนลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ภาคการส่งออกในไตรมาส 4 มีมูลค่าลดลง 7.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นผลจากราคาสินค้าที่ปรับลดลงตามราคาน้ามันดิบ และการที่จีนได้ขยายกำลังการผลิตสินค้าปิโตรเคมี และปิโตรเลียมทำให้ความต้องการนำเข้าลดลง ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจจีนและอาเซียนยังคงชะลอตัว
ณ วันที่ 4 ก.พ.59 แหล่งน้ำของบริษัทในพื้นที่ระยองมีปริมาณอยู่ในเกณฑ์ดี ในขณะที่แหล่งน้ำในพื้นที่ชลบุรียังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งบริษัทเริ่มสูบผันน้ำจากอ่างฯประแสร์ ตั้งแต่เดือน ธ.ค.58 เพื่อผันน้ำไปยังพื้นที่ชลบุรีหลังจากหยุดสูบตั้งแต่กลางเดือน ต.ค.58 ทั้งนี้ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักของบริษัทในพื้นที่ระยอง และชลบุรี เฉลี่ยอยู่ที่ 78% และ 33% ของความจุอ่างเก็บน้าตามลำดับ
ผลการดำเนินงานปี 58 ของบริษัทและบริษัทย่อยยังคงมีความสามารถในการทำกำไรอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 52.86% และอัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 32.96% สำหรับอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 15.76% อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) อยู่ที่ 8.04% ซึ่งลดลงจากปี 57 เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพื่อรองรับการความต้องการใช้น้ำในอนาคต ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นปรับขึ้นเป็น 1.09 เท่า จากเงินกู้ เพื่อนำไปชำระค่าหุ้น บจก.เอ็กคอมธาราและโครงการก่อสร้างของบริษัท
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาสุทธิจากเงินฝากธนาคารและเงินลงทุนระยะสั้นแล้ว อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.96 เท่า ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีโดยมีอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น (DSCR) ที่ 2.45 เท่า