บมจ.เฟอร์รั่ม (FER) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ อนุมัติให้บริษัทหรือบริษัทย่อย เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ (Biogas Power Plant) ขนาด 2 เมกะวัตต์ (MW) ผ่านการซื้อหุ้นของบริษัท พระแสงกรีน พาวเวอร์ จำกัด (พระแสงฯ) ในสัดส่วน 60% คิดเป็นมูลค่า 77 ล้านบาท จากบริษัท ไบโอเอ็นเนอร์ยี่ แมเนจเม้นท์ จำกัด โดยโรงไฟฟ้าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในเดือนเม.ย.59 ขณะที่การซื้อขายและโอนหุ้นดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในเดือนเม.ย.เช่นเดียวกัน
สำหรับพระแสงฯ ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าผ่านโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ (Biogas) โดยใช้วัตถุดิบจากน้ำเสียในการผลิต มีขนาดกำลังการผลิต 2 MW ตั้งอยู่ในอ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นระยะเวลา 15 ปี (ต่อสัญญาได้) นับจากวันที่สามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในอัตรารับซื้อไฟฟ้าแบบ Adder จำนวน 0.30 บาท/หน่วย เป็นระยะเวลา 7 ปี โดยได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและ COD ได้ภายในเดือนเม.ย.59
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทยังอนุมัติปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยให้บริษัท เฟอร์รั่ม แคปปิตอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท เฟอร์รั่ม เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเช่นเดียวกัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 100 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ FER คาดว่าการเข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวจะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวม (IRR) ให้กับบริษัทไม่ต่ำกว่า 15% หลังจากที่เดินเครื่องจ่ายไฟในเดือน เม.ย.นี้
"บอร์ดมีมติอนุมัติให้เข้าซื้อหุ้น 60% ของ บริษัท พระแสง กรีนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานชีวภาพ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ประเมินแล้วว่าการเลือกลงทุนในโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะสร้างผลตอบแทนที่ดี ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับบริษัทในอนาคต"นายประสิทธิ์ กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในรอบปี 58 ที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับโครงสร้างใหม่ทั้งในเรื่องของธุรกิจและองค์กรอย่างเข้มข้น เช่น เคลียร์สินค้าคงค้าง ของ Microsoft และปรับปรุงโครงสร้างการดำเนินกิจการของธุรกิจ Retail shop โดยมุ่งเน้นในสาขาที่มีศักยภาพในการแข่งขัน เป็นต้น จึงคาดว่าผลประกอบในปีนี้จะกลับมาดีขึ้น หลังจากที่ได้ปรับโครงสร้างใหม่และมีรายได้จากธุรกิจพลังงานเข้ามาช่วยเสริม โดยบริษัทยังคงเน้นสร้างความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้และยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้น