(เพิ่มเติม1) TACC ได้รับช่วงสิทธิผลิตสินค้าตัวการ์ตูนเครือ SANRIO ในร้านเซเว่น,เพิ่มรายได้นอกกลุ่มเครื่องดื่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 3, 2016 15:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) ลงนามในสัญญาอนุญาตใช้ช่วงสิทธิเครื่องหมายการค้ากับ Sanrio Wave Hong Kong Co.Ltd. เมื่อวันที่ 29 เม.ย.59 โดยบริษัทได้รับสิทธิในการผลิตและจำหน่ายสินค้า โดยใช้ตัวการ์ตูน 5 คาแร็ตเตอร์ ประกอบด้วย Hello Kitty, Kerokerokeropi, Pompompurin, Bad badtzmaru ในประเทศไทยผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven

สินค้าที่บริษัทได้รับสิทธิครอบคลุม 5 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ 1.Stationary 2. Non-Food เช่น ถ้วย กระเป๋าใส่เหรียญ พวงกุญแจ เป็นต้น 3.Cosmetic 4.Beverage และ 5. Processed Food สัญญาดังกล่าวมีระยะเวลา 5 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-31 ธ.ค.59 ซึ่งบริษัทสามารถต่อสัญญาได้โดยแจ้ง Sanrio Wave Hong Kong Co.Ltd. ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนก่อนวันที่สัญญาจะสิ้นสุดลง

จากการที่บริษัทดำเนินธุรกิจร่วมกับ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ภายใต้ความเป็นพันธมิตรทางธุรกิจต่อกัน (Key Strategic Partner) บริษัทจึงได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Distributor) จาก CPALL ในการจำหน่ายสินค้าที่บริษัทได้รับสิทธิครั้งนี้ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ทั่วประเทศ โดยมีแผนจะเริ่มวางจำหน่ายสินค้าในเดือนส.ค.59

นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร TACC กล่าวว่า ถือเป็นการตอกย้ำความไว้วางใจที่ทาง 7-Eleven มีต่อทางบริษัทฯ ในฐานะพันธมิตรหลักทางธุรกิจที่ดำเนินร่วมกันมากว่าทศวรรษ และนับเป็นก้าวแรกที่บริษัทฯจะทำธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของบริษัทฯต่อไปในอนาคต โดยบริษัทตั้งงบลงทุน 20-30 ล้านบาท สำหรับการผลิตสินค้าตัวการ์ตูน SANRIO ช่วง 5 เดือนแรก และคาดว่าปีนี้จะมีรายได้จากธุรกิจนอกกลุ่มเครื่องดื่มราว 55-60 ล้านบาท หรือประมาณ 5% ของรายได้รวม ก่อนจะเพิ่มเป็นระดับ 19-20% ใน 3-5 ปี

หลังจากที่บริษัทได้ซื้อไลเซ่นส์ กับ Sanrico Wave Hong Kong Co., Ltd ก็ได้มีบริษัทเข้ามาขอซื้อไลเซ่นส์ผลิตภัณฑ์เพื่อไปจำหน่ายต่อประมาณ 3 ราย ซึ่งมีมาร์จิ้นค่อนข้างดี ทั้งผ่านการจำหน่ายสินค้าด้วยตนเองและผ่านการขายไลเซ่นส์ให้แก่ลูกค้าที่สนใจที่เป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายต่อไปด้วย

"เหตุผลที่เราแตกไลน์ธุรกิจมาสู่ธุรกิจนอกกลุ่มเครื่องดื่ม เพราะเราอยากให้ธุรกิจเติบโต และกระจายความเสี่ยงไปนอกเหนือจากธุรกิจเดิม รวมถึงเป็นการเพิ่มแหล่งรายได้เข้ามา โดยคาดหวังรายได้จากกลุ่มดังกล่าวในช่วงแรก 5 เดือนนี้ จะทำได้ 55-60 ล้านบาท และมองว่ากลุ่มที่จะได้รับการตอบรับที่ดีและเป็นตัวทำรายได้คือ สินค้าคอสเมติกส์ หรือเครื่องสำอาง จากสินค้าทั้งหมดที่เราจะวางจำหน่ายทั้งสิ้น 200 SKU"นายชัชชวี กล่าว

นายชัชชวี กล่าวว่า ขณะที่ธุรกิจการขายเครื่องดื่มผ่านโถกดอัตโนมัติและเครื่องดื่มร้อนในปีนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% มาที่ราว 1,150 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 1,006.36 ล้านบาท จากสินค้าผงชงและเครื่องดื่มที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ส่งผลต่อยอดขายที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเริ่มเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/59 ที่ผ่านมา ถือว่าออกมาเกินกว่าเป้าหมาย และดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและดีกว่าไตรมาสก่อนด้วย

ขณะเดียวกันบริษัทฯยังได้เพิ่มจุดจำหน่ายเครื่องกดเครื่องดื่มอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง โดยผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/59 ที่ผ่านมีมีจุดจำหน่ายอยู่ทั้งสิ้น 100 สาขา จากเป้าหมายทั้งปีวางไว้ 750 สาขา จากปีก่อนมีเพียง 10 สาขา และผลิตภัณฑ์ผงชง ในมุมกาแฟสด (All Cafe) ปัจจุบันเพิ่มเป็น 2,500 จุด จากปีก่อนมีเพียง 1,000 จุด

ทั้งนี้ บริษัทฯยังคงเป้าหมายในปี 63 จะมีรายได้แตะ 2,000-3,000 ล้านบาท จากการสร้างการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่ารายได้จากต่างประเทศน่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17-20% จาก 15% ในปีก่อน ซึ่งบริษัทฯมีแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าชาเขียว ในประเทศกัมพูชา แบรนด์ เซนย่า จากที่ผ่านมาได้รับผลตอบรับค่อนข้างดีและผู้บริโภคมีความมั่นใจในแบรนด์สินค้า

ส่วนในประเทศจีน ก็อยู่ระหว่างการรอนุมัติสิทธิบัตรอาหารและยา ซึ่งคาดว่าจะได้รับสิทธิบัตรดังกล่าวในช่วงไตรมาส 2/59 โดยเป็นการขายสินค้าโดยตรง (B2C) ซึ่งจะเป็นการนำสินค้านมทุเรียนผสมเนื้อทุเรียนเข้าไปเจาะตลาด รวมถึงกระจายสินค้าเครื่องดื่มไปยังประเทศออสเตรเลียผ่านร้านอาหารไทย ที่ปัจจุบันวางจำหน่ายแล้วราว 60 แห่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ